ตะกรุดพอกผงยาวาสนาจินดามณี หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว (หายากมากๆ)
ตำรับแห่ง “ ยาจินดามณี ” เป็นตำรับที่ตกทอดมาถึงหลวงปู่บุญเป็นตำรับคู่มากับวัดกลางบางแก้ว นับเป็นตำรับเก่าแก่เล่ากันว่าเป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา ฉบับที่มาอยู่วัดกลางแก้วเป็นตำรับสมุดข่อย ลงทองล่องชาดกล่าวเอาไว้ถึงกรรมวิธีการสร้างที่พิสดารและอานุภาพอัศจรรย์ อย่างยิ่ง
ก่อนอื่นขอความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่า “ ยาจินดามณี ” หรือ “ วาสนา ” นี้ชื่อเดิมตามตำรับนั้นเรียกว่า “ ยาจินดามณี ” และหากสังเกตสักเล็กน้อยจะเห็นว่าเป็น “ ยา ” ซึ่งในตำราได้กล่าวไว้ว่า ประกอบด้วยสมุนไพรอันมีคุณค่าทาง “ ยา ” ในตัวเองอยู่หลายอย่างหลายชนิดประกอบกันเข้าด้วยกรรมวิธีซึ่งใช้กระแสจิต ปลุกเสกด้วยอาคม และมีการเคล้าคลุกการตามขั้นตอนตามพิธีการที่กำหนดจึงจะบังเกิดเป็น “ ยาจินดามณี ”
“ ยาจินดามณี ” เป็นยาที่ทรงคุณวิเศษในทางบำบัดรักษาโรคร้ายนานาชนิดตลอดจนโรคอันเกิดจาก “ เคราะห์กรรม ” บันดาลให้เคลื่อนคลายหายและทุเลาเบาบางลงไป แม้กระทั่งยามจะสิ้นลมก็ยังมีโอกาสสั่งเสียบอกเล่าได้ ด้วยคุณวิเศษดังกล่าวนี้เอง เมื่อผู้ใดมีอยู่ หรือได้กินก็จัดว่าเป็นผู้มีวาสนาเพราะเป็นของทำยากหายากจึงเรียกกันว่า “ ยาวาสนา ” ซึ่งเป็นคำยกย่องเรียกกันภายหลังตามกิตติคุณอันวิเศษของ “ ยาจินดามณี ”
“ ยาก็คือยา ” การสร้างของหลวงปู่บุญในเรื่อง “ ยาจินดามณี ” นี้ ท่านสร้างขึ้นด้วยเจตจำนงหรือมีความประสงค์จะสร้างให้เป็น “ ยา ” ข้อนี้เป็นเป้าหมายสำคัญหรือหลักแห่งการสร้างอันสำคัญยิ่ง ดังนั้นจึงพบได้ว่า “ ยาจินดามณี ” ส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดกลม ๆ จากการปั้นเพื่อเป็น “ ยา ” สำหรับกิน แต่ก็มีอุปเท่ห์กล่าวไว้ว่าหากใช้ติดตัวก็เป็นเมตตามหานิยมหรืออมไว้ในปากก็เป็นเสน่ห์ในการพูดจา การปั้นเป็นเม็ดกลมเพื่อวัตถุประสงค์ในอุปเท่ห์หลังนี้ก็จัดเป็นของขลังคือ “ ลูกอม ” ได้เหมือนกัน
ยา จินดามณีส่วนใหญ่ที่สร้างจึงเป็นเม็ดกลม ๆ เสียเป็นส่วนมาก ส่วนที่เป็น “ องค์พระ ” ซึ่งเป็นพระเครื่องนั้นก็มีอยู่บ้างแต่เป็นส่วนน้อย เกิดขึ้นจากการที่ศิษย์ของหลวงปู่ซึ่งร่วมพิธีทำยาอยู่ด้วย เอาแม่พิมพ์พระซึ่งมีอยู่กับวัดซึ่งหลวงปู่ใช้ทำพระเนื้อดิน เนื้อว่าน เนื้อผง องค์เล็ก ๆ มากดพิมพ์เป็นพระเครื่องกันเอาไว้โดยเลือกเอาพิมพ์เล็ก ๆ เพราะจะได้ไม่เปลืองยา มิได้จัดเป็นพิมพ์พิเศษเฉพาะเนื้อยาจินดามณีแต่ประการใด
“ยาจินดามณี” เป็นยาที่หลวงปู่สร้างขึ้นชนิดหนึ่งเพราะท่านเป็นผู้ชำนิชำนาญในทางสมุนไพร ใบยาและการแพทย์แผนโบราณสมัยนั้นใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะมาขอความเมตตาจาก ท่านในเรื่องยา นอกจากยาจินดามณีแล้ว ยังมียาที่ทรงคุณเป็นที่เลื่องชื่อของท่านอีกขนานหนึ่ง คือ “ยาวิเศษอนันตคุณ” ยาขนานนี้ท่านก็ประกอบขึ้นเก็บไว้เป็นประจำ เมื่อมีชาวบ้านเดือดร้อนด้วยโรคภัย ท่านพิจารณาว่าควรใช้ยาชนิดไหนท่านก็มอกให้ไป โดยเฉพาะ “ยาวิเศษอนันตคุณ” ซึ่งใช้แก้โรคต่างๆ ได้หลายโรค ท่านมักจะมีไว้ไม่ขาด
ดังนั้นนอกจากยา “ยาจินดามณี” แล้ว ท่านจะประกอบยาต่าง ไว้อีกหลายขนาน เป็นต้นว่า “ยารัตนวาโย” “ยาวิเศษอนันตคุณ” “ยาหอมเทพจิต” ล้วนแต่เป็นยาที่ประกอบด้วยสมุนไพรเป็นหลักทั้งสิ้น ท่านประกอบไว้ก็เพื่อช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านในทางโรคภัยไข้เจ็บเพราะสมัยก่อน การแพทย์ยังไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ใครเจ็บป่วยมักจะไปหาพระที่ตนนับถือ เพื่อขอให้เป็นที่พึ่งพระเถระในยุคนั้น ถ้าเป็นเจ้าอาวาสก็มักจะต้องมีรอบความรู้ทางด้านสมุนไพรใบยาเอาไว้เพื่อช่วย สงเคราะห์ชาวบ้านนั่นเอง
กรรมวิธีการสร้าง ประกอบด้วยวิธีกรรมและเครื่องยา แยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นเครื่องยานั้นตามตำรับยาพรรณนาเอาไว้อย่างกว้างๆ ในเบื้องต้นของของตำราว่า
“จินดามณีโอสถพิพาสประกอบดอกคราด ดอกจันทน์เกสรบุษบัน เปราะหอมกำยาน โกฐสอ โกศเขมาทองน้ำประสาน เปลือกกุ่มชลธาร กรุงเขมาเท่ากัน ผสมแล้วตำบดพิมเสน ชะมด น้ำผึ้ง รวงรัน กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขือ ขื่ขดั้น ผสมยาเข้าด้วยกัน บดปั้นตากกิน เป้นยาวาสนา เลิศล้ำตำราในโลกแผ่นดิน อุปเท่ห์กล่าวไว้ ผู้ใดได้กิน จะสวัสดิ์โสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุ เงินทอง จักพูนกูลนอง กว่าโลกหญิงชายนำมาบูชาอหิวาต์ก็วิวาย ระงับอันตราย ทั้งสี่กิริยา โทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนากลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายเอย ”
นอกจากนี้ยังได้แยกเครื่องยาไว้อย่างละเอียดว่าสมุนไพร ชนิดใดจะเอาส่วนไหนประกอบกับอะไร บดเป็นผงละเอียด เคล้ากับตัวประสาน สมุนไพรนั้นมีมากมายหลายชนิด แยกออกเป็นสัดส่วนว่าส่วนไหนใช้เท่าใดและให้ลงหรือเสกด้วยคาถาอย่างไรบ้าง เมื่อปลุกเสกเครื่องยาแต่ละส่วนตามคาถาที่กำกับแล้วก็เอาเครื่องยามาประสม กันมีคาถาฤาษีประสมยาประกอบไว้อีกโสตหนึ่ง ในเรื่องสัดส่วนของสมุนไพร ตลอดจนสมุนไพร นอกจากที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้นนั้น และพระคาถากำกับการเสกสมุนไพรมากมายหลายบท ผู้เขียนจะเว้นที่จะกล่าวถึงเพื่อรักษาตำรับของยาคู่ สำนักวัดกลางบางแก้วเดาไว้เพื่อเป็นของเฉพาะวัดกลางบางแก้วเป็นประเพณีสืบไป
จากนั้นท่านได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ในส่วนการลงลูกหิน และแม่หิน ซึ่งจะใช้บดยาว่าแม่หินจะต้องลงอักขระเลขยันต์ชนิดหนึ่ง ลูกหินตัดบดจะต้องลงอักขระเลขยันต์อีกแบบหนึ่ง และมีคาถาประกอบขณะบดยาเพื่อให้ภาวนาบริกรรมขณะบดยาด้วย
การจัดพิธี ท่านให้เลือกเอาวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๑๒ ซึ่งหากปีใดได้ราชาฤกษ์ หรือเพชรฤกษ์จัดว่าดีเยี่ยม ให้จัดเครื่องสังเวยเทวดา บัตรพลีต่าง ๆ รวมทั้งราชวัตรฉัตรธง ภายในพระอุโบสถและมีสายสิญจน์รอบพระอุโบสถแต่ละทิศให้ลงยันต์ประจำทิศด้วย ผ้าแดงเอาไว้ ด้านหน้าพระอุโบสถให้ลง ยันต์ตรีนิสิงเห และยันต์จินดามณีประกอบไว้เป็นพิเศษด้วย เมื่อได้ฤกษ์ให้ชุมนุมเทวดา แล้วให้พระภิกษุ และฆราวาสที่ร่วมพิธีพร้อมกันโดยเฉพาะฆราวาสนั้น หากเป็นหญิงให้ใช้สาวพรหมจารีซึ่งรักษาศีลอุโบสถมาแล้ว ๓ วัน ส่วนชายก็ให้รักษาศีลอุโบสถเช่นเดียวกัน
ผู้ร่วมพิธีปั้นเม็ดยาจะต้องท่องคาถาปั้นเม็ดยาได้ เพื่อใช้ภาวนาตลอดระยะเวลาการปั้นเม็ดยา และยาที่ปั้นสำเร็จเป็นเม็ดในพิธีแล้วจะต้องนำไปปลุกเสกด้วยมนต์อีกอย่าง น้อย ๗ เสาร์ ๗ อังคาร
ข้อมูลจากหนังสือ อาจารย์สุธน ศรีหิรัญ
|