เหรียญรุ่น2หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน ปี 2517 เนื้อเงิน
ตอกโค๊ต หายากมาก
..พระเกจิชื่อดังแห่งเมืองลำปางน้อยคนที่จะรู้จัก....
.....ประวัติ เล่าขานสืบมาคับ.... หลวงพ่อเมืองวัดท่าแหนเกจิแดนล้านนายุค250ถึง251กว่าที่ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลสำคัญๆในยุคนั้นทั่วประเทศท่านเป็นสหายธรรมกับหลวงปู่ทิมวัดช้างให้ท่านหลวงพ่อเมืองท่านเก่งทางมองเห็นอดีตและอนาคต(จากบรรทึกการสนทนาของหลวงพ่อเกษม เขมโกที่ถวายตอบข้อซักถามขององค์ในหลวงเราเมื่อคราวเสด็จเยือนอาการอาพาธของหลวงพ่อเกษม ที่สุสานไตรลักษณ์)ท่านเป็นประธานปลุกเสกหลวงพ่อแช่มวัดฉลองภูเก็ตปี12ที่นายหัวไมตรี บุญสูงเศรษฐีเจ้าของเหมืองแร่เป็นประธานฆราวาสสร้างและฮือฮาโด่งดังเพราะหลวงพ่อเมืองมองเห็นว่าหลวงพ่อแช่มมาร่วมพิธีปลุกเสกจึงให้จัดอาสนะเพิ่มอีก1ที่สำหรับหลวงพ่อแช่มเป็นที่ฮือฮากันมากคิดดูว่าถ้าไม่ดีจริงคนทางใต้คงไม่นิมนต์พระทางเหนือไปเป็นประธานปลุกเสกวัตถุมงคลโดยเฉพาะของหลวงพ่อแช่มวัดฉลองซึ่งชาวใต้นับถือท่านมาก..คิดดูครับ..ขออนุญาตเล่าเกล็ดเล็กๆน้อยๆจากประสบการณืจริงเมื่อยุคปีพ.ศ251กว่าเป็นต้นมาหมู่บ้านที่ผมอยู่ห่างจากหมู่บ้านท่าแหนของหลวงพ่อเมืองประมาณ5ก.มช่วงฤดูฝนคือประมาณระยะช่วงนี้ชาวบ้านนอกชนบทยุคนั้นอุปกรณืทำนาที่สำคัญยิ่งคือควายชึ่งมีกันแทบทุกครัวเรือนเอาไว้ไถนาบางบ้านมีเยอะเลี้ยงกันแทบทุกหลังไอ้พวกโขมยโจรขี้ลักควายจะจ้องโขมยควายชาวบ้านก็ช่วงหน้านี้แหละเพราะหลังจากทำงานไถนาเหน็ดเหนื่อยทั้งวันตอนเย็นเสร็จงานชาวบ้านมักตั้งวงก๊งส.ร.ถ(สุราต้มกลั่น)กันแก้ปวดเมื่อยชึ่งเหนื่อยกันมาทั้งวันพอกลางคืนฝนตกตลอดบรรยากาศให้..หลับเป็นตาย..ตื่นเช้าสีหูสีตาลงกระไดบ้านมาเตรียมไถนาต่อปรากฎว่าคอกโล่งเกลี้ยงโจรลักไปหมดไม่รู้ถูกต้อนไปถึงไหนแล้วบางคนถึงกะลมจับเพราะนาก็ยังไม่เสร็จต้องถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปหาหลวงพ่อเมืองที่วัดท่าแหนขอหลวงพ่อช่วยดูให้ว่าไอ้โจร500มันเอาไปทางไหนชึ่งหลวงพ่อมักจะบอกให้ไปทางทิศไหนก็จะเกณฑ์ชาวบ้านออกติดตามและไม่พลาดเจอแทบทุกรายจริงๆแต่จะเจอสภาพตัวเป็นๆหรือซากแค่นั้นและครับและเสือร้ายโขมยยุคนั้นส่วนใหญ่อยู่เขตติดต่ออ.แม่ทะทางทิศตะวันตกมีอยู่2อำเภอเยอะจริงมีหลายก๊กบ้างขโมยไปเรียกค่าไถ่บ้างขโมยไปชำแหละเป็นที่รู้กันในยุคนั้น..หลวงพ่อเมืองเป็นที่กล่าวขวัญรู้กันในยุคนั้นของหายไม่รู้พึ่งใครวิ่งไปหาหลวงพ่อเมืองให้หลวงพ่อนั่งทางในดูให้และมักเจอตามที่หลวงพ่อบอกทุกรายจึงเป็นที่ศรัทธาของคนสมัยนั้นมา หลวงพ่อเมือง หรือที่ชาวบ้านรู้กัน คือท่านหยั่งรู้ ฟ้าดิน
ประวัติหลวงพ่อเมือง อุตฺตโม วัดท่าแหน
หลวงพ่อเมือง อุตฺตโม
วัดท่าแหน ตำบลแม่ทะ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
"พระผู้มีอตีตังสญาณ ผู้หยั่งรู้"
พระครูอุดมเวทวรคุณ (นามเดิม เมืองใจทาหลี) เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2435 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีมะโรง เป็นบุตรคนโตของ นายดวงแก้ว นางต่อม ใจทาหลี ณ บ้านเลขที่ 15 บ้านท่าแหน ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 5 คน คือ
1. พระครูอุดมเวทวรคุณ (หลวงพ่อเมือง)
2. นายมูล ใจทาหลี
3. นางเกี๋ยง โยธา
4. นายซุน ใจทาหลี
5. นางคำใส ฟูชุม
เมื่อเยาว์วัยได้เข้าเล่าเรียนศึกษากับอาจารย์คันธรฐ ที่วัดท่าแหน โดยเรียนอักขระภาษาภาคพายัพ (ภาษาพื้นเมือง) จนจบหลักสูตร เมื่อท่านได้เรียน อักขระพื้นเมือง ตลอดจนเจ็ดตำนานและสิบสองตำนานจบแล้ว จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2449 ณ วัดท่าแหน โดยมีอาจารย์ตันธวงศ์ วัดสันดอน ต.ดอนไฟ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์
เมื่อบรรพชาเป็นสามเณร ก็ได้เล่าเรียนตำรับตำราต่างๆ และเมื่ออายุครบบวช จึงได้ทำการอุปสมบท ในวันที่ 21 มิถุนายน 2455 ณ วัดท่าแหน โดยมีพระคันธวงศ์เป็นผู้อุปชฌาย์ พระคันทะรต เป็นพระกรรมวาจารย์ พระปิ่นไชย วัดบ้านหลวง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้ปฏิบัติศาสนกิจอยู่วัดท่าแหน ก็ได้มีความสนใจใคร่เรียนรู้วิธีปฏิบัติสมถะ วิปัสสนากัมมัฏฐานจึงได้ค้นคว้าจากตำราเก่าแก่ และทดลองปฏิบัติเรื่อยมา โดยไปศึกษาค้นคว้านอกสำนักบ้าง โดยมีหลักฐานจากการบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่สืบต่อกันมา อาทิเช่น
1. ไปจำพรรษา ณ วัดสันดอน อ.แม่ทะ จ.ลำปาง 1 พรรษา
2. ไปจำพรรษา ณ วัดพระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง 1 พรรษา
3. ไปจำพรรษา ณ วัดศรีหมวดเกล้า อ.เมือง จ.ลำปาง 1 พรรษา
4. ไปจำพรรษา ณ วัดสันดอน อ.แม่ทะ จ.ลำปาง 1 พรรษา
ซึ่งทั้งนี้ไปเพื่อค้นคว้าศึกษาด้านสมถะวิปัสสนากัมมัฏฐาน หลวงพ่อเมือง ท่านเสาะแสวงหาหนทางวิธีวิปัสสนากัมมัฏฐานไปแทบทั่วทุกแห่ง เมื่อครั้งที่พระเทพวิสุทธิโสภณ (อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง) ในปี พ.ศ.2473 ขณะนั้นยังเป็นพระสิงห์คำได้ไปตรวจตราคณะสงฆ์แทน เจ้าคณะมณฑลพายัพกับพระมหาปู อัตตลีโว อดีตเจ้าคุณอุบาลีคณูปมาจารย์ วัดพระสิงห์เจ้าคณะภาค 5 ได้ตรวจไปจนถึงวัดท่าแหน พบหลวงพ่อเมืองอยู่ในกุฎิมืดทึบไม่มีหน้าต่าง มีแต่ช่องลมเล็กๆ ประมาณคืบเศษ มีเนื้อตัวผอมเหลือง จึงได้ถามหลวงพ่อเมืองว่าเป็นโรคอะไร หลวงพ่อเมืองก็ได้ตอบว่าไม่เป็นอะไร และภายหลังได้ทราบว่า หลวงพ่อเมืองท่าเป็นพระชอบอยู่ป่าช้าเจริญสมถะ และวิปัสสนากัมมัฏฐานเพ่งกสิณอยู่เป็นนิจ กระทั่งวันหนึ่ง หลวงพ่อเมืองได้เป็นพบคำภีร์โบราณ (หนังสือภาคพายัพ) ในตู้พระไตรปิฎก ณ วัดบ้านหลุก ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ได้ทราบถึงวิธีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในขณะที่อ่านนั้น ท่านก็ได้สัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีกลิ่นหอมมาก หลวงพ่อเมืองไม่เคยได้สัมผัสกลิ่นชนิดนี้มาก่อน ดังนั้นหลวงพ่อเมืองจึงขออนุญาตเจ้าอาวาสวัดบ้านหลุก นำเอาตำราวิปัสสนากัมมัฏฐานนี้กลับไป วัดท่าแหน เพื่อศึกษาและปฏิบัติ โดยศึกษานานอยู่ 6 ปี จึงสามารถกระทำจิตใจให้แน่วแน่เป็นสมาธิได้ คือสามารถรวมใจเป็นดวงเดียว ซึ่งเรียกกันว่า บริกรรมนั่งทางใน จนสามารถนั่งทางในมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็นได้ ตั้งแต่นั้นมาก็มีลูกศิษย์ลูกหาให้ท่านนั่งทางในดู หลวงพ่อเมืองก็สามารถทำนายทายทักให้ถูกต้องแม่นยำ หรือแม้กระทั่ง หลวงพ่อเกษม เขมโก ยังได้เอ่ยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อเกษมว่า "ชาติที่แล้วพระองค์ทรงเป็นนักรบใช่หรือไม่" หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้ตอบพระองค์ท่านว่า "เราไม่รู้สิต้องไปถามหลวงพ่อเมือง ท่านมีอตีตังสญาณ" แสดงให้เห็นว่า หลวงพ่อเกษม ทราบดีว่า หลวงพ่อเมือง ได้สำเร็จในการปฏิบัติธรรมถึงขั้น ทิพย์จักษุฌาน ซึ่งเป็นระดับความสำเร็จของการปฏิบัติกัมมัฏฐานขั้นสูงชั้นหนึ่ง
หลวงพ่อเมือง ได้ช่วยเหลือประชาชนด้วยความกรุณา โดยไม่เลือกชั้นวรรณะมีหรือจน ท่านปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเท่าเทียมทั่วกัน โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก ท่านช่วยเหลือประชาชนในด้านสุขภาพ และเดือดร้อนประการอื่นๆ ด้วยการนั่งสมาธิแล้วแจ้งให้ผู้มาขอความช่วยเหลือได้ทราบถึงมูลเหตุ และแก้ไขด้วยวิธีต่างๆ เช่น ทำบุญให้ทาน หรือกำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคและเป็นมูลเหตุให้เกิดความเดือดร้อนที่ได้ขุดพบ ซึ่งทั้งนี้เป็นผลที่พอใจของทุกคน ฝูงชนจึงได้หลั่งไหลไปสู่วัดท่าแหนไม่ขาดสายบางวันก็มาเต็มคันโดยสาร และค้างคืนที่วัดก็มี ที่กรุงเทพมหานครก็เช่นกันหากหลวงพ่อเมืองมาพัก ณ วัดใด ฝูงชนจะพากันไปวัดนั้นอย่างคับคั่ง
ถึงแม้นท่านจะมีความเมตตาธรรมต่อผู้อื่นทั่วไปอย่างไรก็ตาม แต่ทุกชีวิตที่เกิดย่อมที่จะหนีไม่พ้นสังขารไปได้ ดังนั้นเมื่อปลายแห่งชีวิต โรคภัย ไข้ เจ็บ ก็เริ่มคุกคามหลวงพ่อเมือง จนกระทั่งศิษยานุศิษย์ได้นำท่านไปรักษายังโรงพยาบาลหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายได้นำท่านไปทำการผ่านตัด และรักษาที่โรงพยาบาลสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ แต่อาการของหลวงพ่อก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น ศิษยานุศิษย์จึงได้นำท่านกลับมายังวัดท่าแหนและแล้วหลวงพ่อเมืองก็ได้ถึงแก่มรณภาพ ณ วัดท่าแหน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2519 เวลา 21.39 รวมอายุได้ 85 ปี ซึ่งนำความเศร้าโศกเสียใจมาสู่ญาติพี่น้องและคณะศิษยานุศิษย์ ประชาชนทั่วไป ที่ได้สูญเสียท่านพระครูอุดมเวทวรคุณ (หลวงพ่อเมือง อุตฺตโม)ไปอย่างไม่มีวันกลับ
เนื้อเงินสร้างน้อย หายากมากครับ
สนใจสอบถามได้ครับ 086-1936900
|