หลวงพ่อเขียว อินทโชโต”
ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ “สายเสน่ห์”ที่หาตัวจับได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้ เพราะท่านเก่งมากในเรื่องการลง “นะ หน้าทอง มหาเสน่ห์”ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อใหญ่ วัดระเว ซึ่งหลวงพ่อใหญ่นี้ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ จอมขมังเวทย์ แห่งเมืองโคราชในอดีต ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อหมา แห่งวัดระเว เจ้าตำนานของพระปิดตามหาเสน่ห์ และเมตตามหานิยม “พระปิดตาคลุกรัก พิมพ์หูกระต่าย”อันเลื่องชื่อระบือนาม อีกทีหนึ่ง ซึ่งหลวงพ่อหมานี้ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยกับ “หลวงพ่อแก้ว”แห่งวัดเครือวัลย์ เจ้าของฉายา “ผู้หยุดรถไฟ”ผู้โด่งดังในอดีต“ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) ของ “หลวงพ่อเขียว”ที่ท่านทำออกมาเป็น “รุ่นแรก”และเป็น “รุ่นเดียว”ของท่านนั้น เป็นพระพิมพ์ขุนแผน ที่นั่งประทับอยู่เหนือ “พญามหานกการะเวก”มือซ้ายถือ “ดาบฟ้าฟื้น”
มือขวายกขึ้น ถือ “ดอกบัววิเศษ”มีใบหน้าเมตตายิ้มแย้มแจ่มใส ทรงเครื่องออกศึกเต็มยศ และนั่งประทับอยู่ในซุ้มเรือนแก้วอีกชั้นหนึ่ง ด้านหลังเป็นมหายันต์ “สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) และยังมีชื่อรุ่นของพระขุนแผน และมีชื่อท่านอยู่ด้านล่าง ซึ่งได้ "ฝังชิ้นอาถรรพ์”ส่วนในเรื่องเนื้อหามวลสารอาถรรพ์ของ “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) นี้ เนื้อหามวลสารนั้นจัดมากๆๆๆ และแรงมากๆๆๆ กล่าวคือ ได้จัดสร้างขึ้นด้วย “ผงมวลสารอาถรรพ์วิเศษ”ต่างๆ มากมายหลายชนิด หลายประเภทด้วยกัน อาทิเช่น
จัดสร้างขึ้นด้วย “ผงวิเศษที่ได้มาจากเขียนยันต์ และลบยันต์ จำนวนอย่างละ 108 ครั้ง”
ซึ่งได้แก่
-ผงพุทธคุณ
-ผงธรรมคุณ
-ผงสังฆคุณ
-ผงปถมัง
-ผงมหาราช
-ผงอิทธิเจ
-ผงตรีนิสิงเห
-ผงยอดพระคาถาอิติโสรัตนมาลา
-ผงใบโพธิ์กลางอากาศ
-ผงสาลิกาจับปากโลง
ผงอันได้มาจาก “มวลสารอาถรรพ์”
ต่างๆ อันได้แก่
-ผงพรายอาถรรพ์ (เป็น “ผงพราย”
ที่เกิดจากการรวบรวม “เถ้ากระดูกพราย”
ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร จำนวน 7 ป่าช้า)
-ผงดินอาถรรพ์ 7 กลางป่าช้า
-ผงดิน 7 ทุ่ง
-ผงโป่ง 7 ป่า
-ผงดิน 7 ท่าน้ำ (ที่มีผู้คนสัญจรไปมา โดยเอามาทั้งสองฝั่งจำนวน 7 แห่ง)
-ผงดินจอมปลวก 7 รังร้าง
-ผงไคลโบสถ์ ไคลเสมา 7 วัด
-ผงไม้ทิ่มผีตายโหง
-ผงขี้เถ้ากองฟอนเผาผีตัวตาย,
-ผงตะเคียนฟ้า และ ผงตะเคียนทอง
ผงอันได้มาจาก “มหาว่าน”
ทางด้านต่างๆ อันได้แก่
-ผงว่านอาถรรพ์ 108 ชนิด
-ผงว่านทางด้านคงกะพัน 108 ชนิด
-ผงว่านทางด้านเมตตา 108 ชนิด
-ผงว่านทางด้านกามคุณต่างๆ และ
-ผงว่านทางด้านเรียกโชค เรียกลาภต่างๆ อีกอย่างละ 108 ชนิด เช่น ว่านมหาเศรษฐี ว่านเรียกทรัพย์ ว่านดูดทรัพย์ เป็นต้น
ผงอันได้มาจาก “มหาว่านทางด้านเสน่ห์”
ต่างๆ อันได้แก่
- ว่านสาลิกาลิ้นทอง 18 แฉก
- ว่านสาวรุมล้อมรัก
- ว่านการะเวกหลงรัง
- ว่านร่านสวาท
- ว่านเสน่ห์เดือนเสน่ห์ปี
- ว่านอุดมสตรี
- ว่านพญาขุนแผนออกศึก
- ว่านหลงไม่รู้ลิม
- ว่าน 80 แม่หม้ายตีกันเอง
- ว่านยั่วเสน่ห์
- ว่านกระทืบใจนาง
- ว่านกลืนหัวใจสาว
- ว่านขุนแผนเคียงนาง
- ว่านนางพ่าย
- ว่านห้าแสนนางพัลวัน
- ว่านมหาหลง 600 ชนิด
- ว่านโคตรดอกทอง 28 ชนิด
- ว่านนางล้อมเมือง
- ว่านเจ้าครองเมือง
- ว่านนะหน้าสังข์ทอง ฯลฯ เป็นต้น
และนำ “ผงมวลสารอาถรรพ์วิเศษ”
ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น มากดพิมพ์เป็น “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) ขึ้น โดยมี “น้ำมันระเว”
ซึ่งจัดสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ สูตรตำรับของ หลวงพ่อเขียว โดยเฉพาะ ไม่สามารถเปิดเผยได้) เป็นตัวประสาน
จากการเรียนถาม “หลวงพ่อเขียว”
ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) รุ่นแรกของท่านนั้น ท่านได้ตั้งใจจัดสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ และอย่างเข้มขลังโดยเฉพาะ ด้วย “ผงมวลสารอาถรรพ์วิเศษ”ต่างๆ มากมาย หลายชนิด หลายประเภท และท่านได้เมตตาปลุกเสกเดี่ยว แบบอัดยัดประจุ “อำนาจพลังจิต” (ด้านเสน่ห์) เข้าไปเป็นพิเศษเป็นการเฉพาะ
และท่านยังเล่าให้ฟังต่อไปว่า วิชา “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) เป็นวิชาของโบราณาจารย์ที่ตกทอดสืบกันมานานแล้ว ซึ่งได้บันทึกไว้ใน “คัมภีร์”ใบลานเก่าแก่ เป็นวิชาหาผู้ที่ทำได้ยากมาก เพราะเป็นวิชาโบราณ มีขั้นตอนในการทำที่ยุ่งยากมากๆๆๆ เพราะ “วิชาสาลิกาจับปากโลง” (จับปากโลง) ต้องได้ผงมวลสารหลักเสียก่อน ซึ่งผงมวลสารหลักที่ว่านี้ก็คือ “ผงใบโพธิ์กลางอากาศ”เป็นผงที่ได้จาก “ใบโพธิ์กลางอากาศ”
ซึ่งผู้จะทำผงนี้ได้ ต้องไปนั่งบริกรรมคาถาใต้ “ต้นโพธิ์”และรอจนกว่า “ใบโพธิ์”
จะร่วงลงมาเอง โดยการบริกรรมคาถา มิใช่ไปเด็ดมา เมื่อใบโพธิ์ร่วงหล่นมาแล้ว จึงใช้ “มือขวา”คว้าใบโพธิ์ใบที่ร่วงหล่นมานั้นให้ได้ “กลางอากาศ”อย่าให้ใบโพธิ์นั้นหล่นลงพื้นดินเด็ดขาด เพราะจะทำให้ใบโพธิ์นั้นไม่เข้มขลังใช้ทำผงไม่ได้ เมื่อได้จำนวนใบโพธิ์ตามที่บันทึกกำหนดไว้ในคัมภีร์โบราณ จึงนำเอามาบดผสมรวมกับ “ผงมวลสารอาถรรพ์วิเศษ”
อื่นๆ ดังกล่าวข้างต้น แล้วจึงนำมาผงที่ได้ทั้งหมดมาจัดสร้าง “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง)โดยผู้ที่ทำ “ผงใบโพธิ์กลางอากาศ”เช่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่สำเร็จ “วิชาสาลิกาจับปากโลง” (จับปากโลง) มาเสียก่อน กล่าวคือ ต้องลงไปนอนภาวนาบริกรรม “พระคาถาสาลิกาจับปากโลง” (จับปากโลง) อยู่ในโลงศพ จนกว่า “นกสาลิกา”บินมาเกาะ รวมจำนวนกัน ให้ได้ถึง 9 ตัวพร้อมกัน จึงจะถือว่าสำเร็จ “วิชาสาลิกาจับปากโลง” (จับปากโลง) และผู้ที่สำเร็จวิชาดังกล่าว เมื่อสำเร็จวิชาแล้วมีข้อห้ามคือ ภายใน 3 วันห้ามยิ้มกับผู้ใด และภายใน 7 วัน ห้ามคุยกับอิสสตรี ซึ่งวิชาดังกล่าวเข้มขลังแรงขนาดที่ว่า ถ้าผู้ที่สำเร็จ “วิชาสาลิกาจับปากโลง” (จับปากโลง) นี้แล้ว โกรธผู้ใดแล้ว “ยิงฟัน” (ฟันในปาก) ใส่ผู้นั้น ผู้ที่โดนยิงฟันใส่ต้องถึงกับล้มทั้งยืน และแรงถึงขนาดที่ว่า “ยิงฟัน” ใส่ “กอไผ่” กอไผ่ถึงกับลั่น “เปรี๊ยะๆๆๆ”เลยทีเดียว
โดย “หลวงพ่อเขียว”ท่านจะปลุกเสก “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) ครั้งละประมาณ 3 - 4 องค์ และทำการปลุกเสกอย่างนี้ติดต่อกันไปทุกวันๆ ซึ่งท่านจะปลุกเสก ในเวลาหลังเที่ยงคืนจนถึงเช้า และในขณะที่ท่านได้ปลุกเสก ท่านต้องปลุกเสกให้ “นกสาลิกา”บินมาเกาะตัวท่านบ้าง หรือ บินมาเกาะไหล่ท่านบ้าง จึงจะเป็นที่พอใจของท่านสำหรับในการปลุกเสกครั้งนั้นๆ โดยท่านได้ปลุกเสก “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) นานประมาณติดต่อกัน 8 ถึง 9 เดือน เพื่ออัดยัดประจุ “อำนาจพลังจิต” (ด้านเสน่ห์) และเป็นการบรรจุคุณ บรรจุฤทธิ์ เข้าไปใน “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) อย่างเต็มที่ เข้มขลังแรงแบบ “เต็มอัตราศึก”
เลยก็ว่าได้และท่านได้บอกว่า ส่วนมากหาผู้ที่ทำ “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) ได้ยากมาก เพราะต้องปลุกเสกนาน และในเรื่องเนื้อหามวลสารต้องสำเร็จ “วิชาผงใบโพธิ์กลางอากาศ”และ “วิชาสาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) เพราะท่านเน้นทางด้านเสน่ห์จริงๆ ประสบการณ์ด้านเรื่อง “ผู้หญิง”มีเยอะมากจริงๆๆๆ บรรยาย 7 วันก็ไม่หมด และไม่ซ้ำเรื่องไม่ซ้ำแบบกันด้วยเคยมีคนถามท่านว่า ถ้าผู้ชายใช้ “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) ของท่านแล้วจะเป็นอย่างไร ท่านตอบเพียงว่า “ก็มีเมียเยอะ น่ะสิ ขอให้เลี้ยงดูกันให้ดีๆๆ จัดสรรปันส่วนเงินทองให้เท่าๆ กันน่ะ จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง แล้วจะมาโทษฉันทีหลังไม่ได้น่ะ ฉันเตือนแล้วน่ะ!!!” (ส่วนผู้หญิงใช้ ท่านบอกว่า ใช้แล้ว ผัวจะเยอะ ก็จะมีหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ มาจีบติดพันเยอะมาก) โดยท่านบอกว่า “ขุนแผนพราย สาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) ของท่านนั้นแรงมากๆๆๆ ปลุกเสกให้เน้นหนักไปทางด้านเสี่ยงโชค เสี่ยงดวง เสี่ยงโชค มหาเสน่ห์ และด้านเรียกโชคลาภเงินทอง ทำมาค้าขาย โดยเฉพาะ เพราะเรื่องเสน่ห์ และเงินทองนั้น ท่านบอกว่า ต้องใช้ “วิชาสาลิกาจับปากโลง” (จับฝาโลง) เท่านั้น ถึงจะเร็ว และแรง เห็นผลแบบทันตา เพราะวิชาของท่านนั้นแรงมากจริงๆๆ ประสบการณ์สูงมากจริงๆๆพุทธคุณจึงแรงมากๆๆๆ และมีประสบการณ์สูงมาก ไม่มีการเข้าตัว ผ่านการพลีกรรมทุกขั้นตอน มีแต่ให้คุณ ไม่ให้โทษแก่บูชา จึงเหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญเติบโตก้าวหน้า หรือ ผู้ที่มีใจใฝ่ทางด้านการเสี่ยงโชคลาภทุกชนิด ควรมีไว้บูชาพกพาติดตัวไว้เป็นอย่างเนืองนิจ
ทั้งผู้ที่นิยม และศรัทธา รวมไปถึงผู้นำ นักการปกครอง ผู้บังคับบัญชา หรือ นักบริหารทุกระดับชั้น ข้าราชการทุกตำแหน่ง ทุกประเภทไม่ว่าชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย นายทหารทุกเหล่าทัพ (โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติภารกิจอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ตำรวจ ครูบาอาจารย์ นักพูด นักขาย (ที่ต้องหายอดลูกค้า) นักเจรจา ดารา นักร้อง นักแสดง ผู้ที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทุกประเภท นักกีฬาทุกประเภท นักทำมาหากินทุกประเภท มนุษย์เงินเดือน ผู้ที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่น ไม่ว่าทั้งโดยตรง หรือโดยอ้อม พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนทั่วไป ก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน ควรมีไว้บูชาเป็นอย่างยิ่งพุทธคุณแรงเกินราคา คุ้มค่ามากๆๆๆ กับความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน การมีชื่อเสียง ตำแหน่งที่สูงขึ้น การมีโชคลาภขั้นสูง มหาเสน่ห์ มหานิยมที่รุนแรงต่อเพศตรงข้าม การชนะเหนือคู่แข่งขันทั้งหลาย ฯลฯ เป็นต้น ตำราสาลิกาเมื่อก่อนคนที่จะลงต้องหาอาจารย์ที่เก่งอาคมมีตบะถึงจะทำได้เพราะวิธีทำคือให้คนที่จะทำนอนในโล่งเปิดฝาโดยทำในป่าช้าโล่งต้องตั้งบนเตาเผากลางแจ้ง แล้วให้คนที่จะลงสาลิกานอนในโล่งเอาลิ้นพาดไว้ตรงปากโล่งจากนั้นอาจารย์ที่มีอาคมสูงจะท่องคาถาเรียกสาลิกามาจิกตรงลิ้น เป็นอันเสร็จข้อห้ามเมื่อก่อนห้ามบ่วนน้ำลายลงใต้ถุนไม่งั้นมนต์จะเสื่อมฟันจะเหรอหมด นี้คือตำราที่ใช้กันมานาน ส่วนหลวงพ่อเขียมนำมาทำเป็นพิมพ์ขุนแผนติดแผนยันต์ที่ทำมาจากตะปูตอกโลงศพนำมาหลอมปั๊มยันต์ใส่แผ่น แรงไม่แรงไม่รู้ตอนนี้หากันให้ควักเลยครับองค์นี้ทาทองแจกกรรมการชุบน้ำมันพราย หายากครับ