พระปิดตาผงอัฐิ วัดโพธิ์ท่าเตียน นับว่าเป็นพระดี ที่ผู้นำไปใช้บูชา ต่างมีเรื่องเล่าขาน
สืบต่อกันมามากในด้านประสบการณ์ต่างๆ พระรุ่นนี้นั้น มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่
ครั้ง สงครามอินโดจีนกำลังคุกกรุ่น ในช่วงราวๆปี พ.ศ. 2480 กว่าๆ สมัยสงครามอินโดจีน
อันเป็นสงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่มีอาณานิคมอยู่ในอินโดจีนนั้น ยุคนั้นทำให้เรา
ได้รู้จักพระเกจิอาจารย์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งบรรดาวัตถุมงคลที่วัดหรือสมาคมต่างๆ ได้
สร้างขึ้นมา เพื่อแจกให้ทหารที่ออกรบด้วย
พอเสร็จสงครามอินโดจีน ก็เข้าสู่ยุคของสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคนั้นก็มีพระเกจิอาจารย์
ต่างๆ อีกหลายท่าน ที่ได้สร้างวัตถุมงคลออกมาด้วย เนื่องจากตอนนั้นไทยได้ทำสัญญา
เป็นมิตรกับญี่ปุ่นอยู่กับฝ่ายอักษะ ทั่วประเทศไทยตอนนั้น จึงมีแต่ทหารญี่ปุ่นมาตั้งฐานทัพ
เต็มไปหมด ประเทศไทยจึงต้องทำสงครามกับฝ่ายพันธมิตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้
หลายแห่งในประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ และเป็นที่ตั้งของกองทัพญี่ปุ่น ถูกเครื่องบิน
ของฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดระลอกแล้วละลอกเล่า จนสร้างความเสียหายให้กับสถานที่
และชีวิตผู้คนจำนวนมาก พระเกจิอาจารย์หลายท่านจึงได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นมาแจกจ่าย
ทหาร ตำรวจอาสาสมัคร และประชาชน เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจ และเป็นเครื่องรางของขลัง
สำหรับไว้ป้องกันตัว
กำเนิดพระปิดตาผงอัฐิ วัดโพธิ์ท่าเตียน
วัดโพธิ์ ท่าเตียน หรือที่มีชื่อเป็นทางการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลราม ก็เป็นสถานที่
แห่งหนึ่งที่ให้กำเนิดพระเครื่องขึ้นมา เพื่อแจกจ่ายให้ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร และ
ประชาชน เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องรางป้องกันอันตรายจากภัยสงครามในครั้งนั้นด้วย
แต่วัตถุมงคลวัดโพธิ์ ท่าเตียน ไม่ได้มีการสร้างอย่างเป็นทางการแบบที่มีพระเกจิอาจารย์
หลายๆ ท่านมาช่วยกันปลุกเสก โดยเป็นการสร้างวัตถุมงคลโดยพระเกจิอาจารย์
เพียงท่านเดียว และเป็นการสร้างแบบเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไป
พระปิดตาผงอัฐินี้เป็นพระปิดตาที่กำเนิดโดย พระอาจารย์หนู แห่งสำนักวัดโพธิ์ ท่าเตียน
ซึ่งท่านพระอาจารย์หนู เป็นเกจิอาจารย์ชาวเขมร สร้างพระรุ่นนี้ขึ้นในราวปี พ.ศ. 2485
โดยสร้างจากผงอัฐิเถ้ากระดูก, ผงพระพุทธคุณ, ผงอิทธิเจและว่านอาถรรพ์ต่างๆ
ว่ากันว่าพระรุ่นนี้นั้น นอกจากห้อยบูชาจะดีเด่นทางด้านคงกระพัน แคล้วคลาดแล้ว
ยังให้โชคในด้านการเสี่ยงการพนันขันต่ออีกด้วย
ประวัติ พระอาจารย์หนู
พระอาจารย์หนู ท่านนี้ก็เป็นพระสงฆ์จากจังหวัดสุรินทร์ มีเชื้อสายเป็นชาวเขมร มีวิชา
อาคมแก่กล้า และเชี่ยวชาญทางวิทยาคมกับไสยศาสตร์มาก แม้อายุท่านจะไม่มากเท่าไหร่
แต่มีความศักดิ์สิทธิ์ทางคาถาอาคมจนเป็นที่ประจักษ์ และมีคนนับถือกันมาก นอกจากนี้
ท่านยังชอบเลี้ยงว่านด้วย ที่กุฎิของท่านจึงมีว่านต่างๆ หลายชนิดที่พระอาจารย์หนูได้เลี้ยงไว้
วิชาทางการแพทย์แผนโบราณ พระอาจารย์หนูท่านก็มีความชำนาญ สมัยนั้นที่กุฏิ
ของพระอาจารย์หนู จึงมีคนไปขอความอนุเคราะห์จากท่านอยู่บ่อยๆ บ้างก็ไปขอวัตถมงคล
บ้างก็ไปขอให้ท่านรดน้ำมนต์ บ้างก็ไปขอให้ท่านรักษาโรค ตอนที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามา
ตั้งฐานทัพในประเทศไทยนั้น จึงมีเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรมาทิ้งระเบิดตามฐานทัพ
ของทหารญี่ปุ่น และตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอื่นๆ การทิ้งระเบิดเป็นการทิ้งแบบปูพรม
และเครื่องบินก็บินสูง การทิ้งระเบิดจึงทำให้เกิดการพลาดเป้าหมาย ไปถูกบ้านเรือนของ
ประชาชนอยู่เป็นประจำ มีประชาชนเสียชีวิต และบาดเจ็บพิการ เพราะการถูกลูกหลงจาก
การทิ้งระเบิดกันเป็นจำนวนมาก พระอาจารย์หนู ท่านเกิดความสงสารประชาชนเหล่านั้น
ที่พลอยมารับเคราะห์ไปด้วย จึงได้ดำเนินการสร้างพระขึ้นมา เพื่อแจกประชาชนนำไป
ป้องกันอันตราย จากการทิ้งระเบิดด้วยตัวของท่านเอง
เนื่องจากพระอาจารย์หนูท่านมีความชำนาญในวิชาอาคมและไสยศาสตร์ การสร้าง
พระเครื่องของท่าน จึงได้ดำเนินการแบบพิสดารผิดไปจากการสร้างพระเครื่องของ
อาจารย์อื่นๆ ท่านไม่เอาวัสดุจำพวกโลหะ ผงวิเศษ หรือดินมาสร้าง แต่ท่านได้นำเอา
ขี้เถ้ากระดูกของคนตาย มาสร้าง การที่ท่านนำเอาขี้เถ้ากระดูกของคนตายมาสร้างพระเครื่อง
ก็คงเป็นเหตุผลของท่านเอง เนื่องจากขี้เถ้ากระดูกของคนตายนี้ ตามหลักของ
วิชาไสยศาสตร์ก็ถือว่าเป็นวัสดุอาถรรพณ์ชนิดหนึ่ง แต่การที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกผีของคนตาย
มาสร้างวัตถุมงคลนั้นต้องเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้าถึงจะทำได้ เพราะของแบบนี้ย่อม
มีแรงอาถรรพณ์อยู่ในตัว แต่ขี้เถ้ากระดูกที่พระอาจารย์หนู นำมาสร้างพระเครื่องนั้น
ก็ไม่ได้จำเพาะว่าจะจะต้องเป็นขี้เถ้ากระดูกของคนที่ตายโหง หรือตายวันเสาร์เผาวันอังคาร เท่านั้น
จะเป็นขี้เถ้าของกระดูกของคนตายแบบไหนก็ได้ ซึ่งสมัยนั้นคนตาย นิยมเผากันตามเชิงตะกอน
ในสมัยสงครามก็ยิ่งมีคนตายกันมาก ขี้เถ้ากระดูกของคนตาย จึงสามารถหาได้ง่าย แต่ก่อน
ที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกมา พระอาจารย์หนูก็จะทำพิธีพลีกรรม ก่อนทุกครั้งตามวิชาที่ท่านเรียนมา
พระผงกระดูกผี ของพระอาจารย์หนู นอกจากจะสร้างจากขี้เถ้ากระดูกของคนตายแล้ว
พระอาจารย์หนูยังได้เอา ว่านโพง มาบดให้ละเอียดผสมเข้าไปด้วย สำหรับว่านโพงนี้มีชื่อ
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านกระสือ เชื่อกันว่าเป็นว่านที่มีอาถรรพ์และมีอิทธิฤทธิ์มาก มักขึ้นอยู่
ตามป่าลึก หากสัตว์พลัดหลงเข้าไปในป่าลึก บริเวณที่มีว่านอยู่ อาจถูกว่านดูดเลือดกินจนตายไป
ซึ่งว่านชนิดนี้อาจารย์ไสยศาสตร์ที่มีวิชาอาคมชอบเลี้ยงเพื่อไว้เฝ้าบ้าน การเลี้ยงว่านโพง
หรือว่านกระสือ นี้จะเลี้ยงยากกว่าว่านชนิดอื่น อย่างไรก็ตามแม้มวลสารที่ท่านพระอาจารย์หนู
นำมาใช้ในการสร้างพระปิดตานี้ดูจะเฮี้ยนๆ ดูน่ากลัว แต่ท่านได้ทำพิธีพลีกรรมถูกต้อง
ตามตำรับทุกประการ ทำให้ผู้ที่นำมาใช้กลับได้รับคุณอย่างเดียว เรื่องโทษ
ยังไม่เคยปรากฏ และผลที่ได้กลับแปลกคือ แรง และ เร็ว กว่าวัตถุมงคลอีกหลายชนิด
พุทธคุณจะแรงเร็วคล้ายๆกับเครื่องรางของขลัง แต่อย่างไรก็ดีผู้นำมาใช้ถ้ามีโอกาส
เมื่อขอสิ่งใดได้แล้ว ก็ควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของเถ้ากระดูกนั้นด้วย
สำหรับประสบการณ์ที่เล่าขานนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งทหารไทย และทหารญี่ปุ่น
เมื่อสมัยสงคราม จนมีคำเรียกติดปากกันในยุคนั้นว่า "ทหารผี"
ในสงครามเป็นที่กล่าวขาน ว่าทหารไทยโดนยิงล้มแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่เพราะหนังเหนียว
นอกจากนี้ว่ากันว่าเมื่อบูชาแล้วจะเด่นมากในในด้านความปลอดภัย ป้องกันภัยดี เวลาเดิน
ทางไปไหน จริงๆไปเพียงคนเดียว แต่มีประสบการณ์เล่ากันมาว่า มีคนเห็นว่าเหมือนมีคน
มาหลายๆคน บางคนนั่งรถไปธุระพอลงจากรถมีคนถามว่า อ้าวแล้วคนที่มาด้วยไปไหนแล้วล่ะ..
ส่วนประสบการณ์ด้านอื่นเช่น การเสี่ยงโชคโดยเฉพาะนักเสี่ยงดวงเสี่ยงโชค ก็มักจะ
สำเร็จเหมือนมีคนมาดลจิต ใครชอบของแรงๆ พุทธคุณเด่นชัดเร็วๆก็ต้องบูชา
พระปิดตาสำนักนี้ รับประกันได้ว่าแขวนเดี่ยวประสบการณ์ชัดเจน
มีประสบการณ์ครบสูตรไม่ว่าจะคงกะพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม
พระผงรุ่นนี้จึงนับว่าเป็นพระผงที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ เป็นของดีของขลัง ที่แรงได้ผล
ประจักษ์รวดเร็ว บางคนว่าได้ผลแรงเร็ว คล้ายๆกับการใช้เครื่องราง จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น
ทุกขณะ อีกหน่อยจะหาพบได้ยาก ปัจจุบันที่เล่นหากันส่วนใหญ่ มักไม่ใช่ของแท้
ของแท้ของจริงต้องกดพิมพ์ได้ลึก ผิวพรรณ ความเก่า มวลสารเก่า ดูเข้มขลัง
|