"แก้วโป่งข่าม" เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ เชื่อว่าหลายท่านรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อย ที่เพียงแต่เคยได้ยินชื่ออย่างผิวเผิน ทั้ง ๆ ที่ แก้วโป่งข่ามมีชื่อเสียงมานานหลายสิบปีในยุคร่วมสมัย และนานหลายร้อยปีในยุคอดีตกาล เพียงแต่ชื่อเสียงเหล่านั้น คงอยู่ในวงแคบ ๆ โดยเฉพาะทางเขตภาคเหนือ ซึ่งได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นตำนานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ชาวลานนา การเล่าขานถึงปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ ยังคงสืบเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ในยุคสมัยแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คนเราหันไปสนใจเฉพาะสิ่งที่ตามองเห็น และเชื่อในสิ่งที่ตนสัมผัสได้เท่านั้น โดยละทิ้งธรรมชาติอันเป็นแหล่งที่มาของตน ไม่รับรู้ถึงพลังของธรรมชาติที่ยังคงอยู่รอบ ๆ ตัวเรา
ในอดีตนับพันปี มีความเชื่อสืบเนื่องกันมาว่า ดวงดาวต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อมนุษย์นับตั้งแต่เกิดมา และจะส่งผลต่อคนผู้นั้นไปตลอดอายุขัย ทั้ง ๆ ที่ดวงดาวเหล่านั้น อยู่ห่างไกลจากตัวเรานับหลายร้อยหลายพันปีแสง ดวงจันทร์ก็มีอิทธิพลต่อโลก (และคน) เช่นกัน จนนักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ต่างก็ตั้งสมมุติฐานกันขึ้นมาต่าง ๆ นานาว่า หากวันหนึ่งไม่มีพระจันทร์ โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร?
"แก้วโป่งข่าม" ก็เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นมาจากธรรมชาติ และอยู่ใกล้กับตัวเราจนสัมผัสได้ ย่อมที่จะต้องมีอิทธิพลส่งผลต่อผู้ถือครองเช่นกัน
ความเชื่อในเรื่องแก้วศักดิ์สิทธิ์ของชาวลานนามีมานับนับร้อยนับพันปี ดังหลักฐานการขุดค้นพบแก้วจากกรุโบราณตามสถานที่ต่าง ๆ ในเขตทางภาคเหนือ เช่นองค์พระมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งค้นพบในกรุเจดีย์ที่จังหวัดเชียงราย อีกองค์หนึ่งคือ "องค์พระแก้วดอนเต้า" (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง) รวมไปถึงพระแก้วขาวหริภุญชัย หรือรู้จักกันดีในชื่อ "พระเสตังคมณี" ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ ซึงมีอายุเก่าแก่ถึง 1800 ปี
แก้วโป่งข่าม เป็นอัญมณีของไทย เป็นทรัพย์ในดินที่ดูเสมือนกับว่าถูกละลืมไปอย่างน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่คุณค่าของแก้วโป่งข่าม นอกจากความสวยงามภายนอกแล้ว ยังมีคุณค่าทางวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ และตำนานความเชื่อต่าง ๆ เป็นมรดกตกทอดให้คนรุ่นหลังได้สืบสาน มากกว่าการเป็นเพียงแค่เครื่องประดับอัญมณีที่สวมใส่กันอย่างฉาบฉวยตามแฟชั่นเท่านั้น
มีอยู่หลายท่านไม่น้อยที่คิดกังขาอยู่ในใจว่า แก้วโป่งข่ามมีคุณวิเศษดังที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่? ใครเป็นผู้ปลุกเสก? แก้วโป่งข่ามมีพลังเร้นลับที่สามารถปรับเปลี่ยนวิถึชีวิตของผู้ที่ครอบครองจริงหรือ? โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจะได้สัมผัสกับแก้วโป่งข่ามใหม่ ๆ มักจะเกิดความเคลือบแคลงในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่จะรับรู้ถึงพลังของแก้วโป่งข่าม จนเกิดความเชื่อความศรัทธา ไม่ใช่ด้วยการบอกเล่าถึงเรื่องราวของผู้ที่ได้พบประสบการณ์ปาฏิหาริย์ หรือการบอกเล่าถึงคุณวิเศษต่าง ๆ แต่ต้องด้วยประสบการณ์ของผู้ที่ครอบครองเอง จึงจะสามารถบอกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตของตน
นับว่ายังดีที่ไม่ต้องใช้เงินเรือนหมื่นเรือนแสน ในการที่จะหาแก้วโป่งข่ามสักเม็ดมาครอบครอง ไม่ต้องใช้พิธีกรรมต่าง ๆ มากมาย ก็สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในตัวแก้วโป่งข่ามทุกเม็ด
แก้วโป่งข่าม ก็คือหินควอทซ์ (Quartz) หรือที่เรียกกันว่า "หินเขี้ยวหนุมาน" ที่เรียกว่าหินเขี้ยวหนุมานนั้น สืบเนื่องมาจากลักษณะการก่อกำเนิดภายใต้พื้นผิวดิน ซึ่งลงตัวกันอย่างเหมาะเจาะกับรูปลักษณ์และคุณสมบัติของตัวเอง อันเปรียบได้กับเขี้ยวของ "หนุมาน" ที่ทรงอิทธิฤทธิ์
แก้วโป่งข่าม หรือหินควอทซ์นั้น เป็นผลึกของหินปูนที่มีแร่ซิลิกาปนอยู่จำนวนมาก ซึ่งคุณสมบัติของแร่ซิลิกา คือความสามารถในการปะจุพลังงานไว้ในตัว และคายพลังงานออกมารอบ ๆ ตัวเองได้
พลังงานที่กล่าวถึงนี้คือคลื่นพลังงานไฟฟ้าอันเกิดขึ้นจากการเคลื่อนตัวของ "แมกม่า" ภายใต้ผิวโลก ซึ่งก่อให้เกิดสนามพลังงานซึ่งเรียกกันว่า "สนามแม่เหล็กโลก" การกระเพื่อมของสนามแม่เหล็กโลกนี้เองที่ทำการประจุและสะสมพลังงานในตัวของแก้วโป่งข่าม (หรือหินควอทซ์) ซึ่งหลังจากผ่านกาลเวลานับล้าน ๆ ปี ทำให้พลังงานเหล่านี้มีมากพอที่จะกระจายออกมารอบ ๆ ตัวและเหนี่ยวนำปรับเปลียนพลังงานของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเองได้
ดังนั้น จึงสามารถที่จะกล่าวได้ว่า ผู้ที่ปลุกเสกแก้วโป่งข่ามก็คือ "ธรรมชาติ" นั่นเอง พลังงานจากธรรมชาติซึ่งบริสุทธิ์ ปราศจากอารมณ์ อันเปรียบเสมือนกับการปลุกเสก "พระเครื่อง" ซึ่งต้องอาศัยพลังทางจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากอารมณ์ที่จะมาขวางหรือกรองพลังจิตให้อ่อนแอลงได้
เมื่ออยู่ภายใต้ผิวดิน แก้วโป่งข่ามสามารถที่จะดูดซับพลังงานจากธรรมชาติได้ ย่อมที่จะสามารถดูดซับพลังงานจากผู้ที่ครอบครองได้เช่นกัน ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า แก้วโป่งข่ามสามารถที่จะประจุรูปแบบของชีวิต, ความคิด, เจตนารมณ์และความปรารถนาของผู้ที่เป็นเจ้าของ และเหนี่ยวนำปรับเปลี่ยนพลังงานเหล่านั้นให้กลมกลืนกัน อันมีผลในทางบำบัด ปรับเปลี่ยนสภาวะทางจิตใจ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปถึงสุขภาพ, สมาธิ และการสนองตอบต่อเจตนารมณ์ของผู้ที่ครอบครองอีกด้วย
ก่อนที่แก้วโป่งข่ามเม็ดหนึ่ง จะขึ้นมาประดับอยู่บนตัวเรือนแหวน หรือกำไลข้อมือ ให้สวมใส่กันสวยงาม แก้วโป่งข่ามต้องใช้เวลานับล้าน ๆ ปีในการก่อตัวขึ้นเป็นผลึกแท่งแก้ว รวมทั้งการบ่มเพาะสะสมพลังจากธรรมชาติ ล้วนต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนาน การรวมตัวกันของแร่ต่างชนิด ผสมผสานอย่างลงตัวกอปรขึ้นเป็นลวดลายอันวิจิตร สวยงามและมหัศจรรย์เกินกว่าการที่จะรังสรรค์ด้วยน้ำมือของมนุษย์
|
นักขุดแก้วบ้านนาบ้านไร่ |
|
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าธรรมชาติจะสรรสร้างอย่างวิจิตรพิศดารเพียงใด ก็ดูเหมือนจะสูญเปล่า หากงานปฏิมากรรมที่ต้องผ่านห้วงเวลาอันยาวนานมิได้ถูกค้นพบ ดังนั้น ขั้นตอนแรกและนับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ก็คือการขุดค้นหาแก้วโป่งข่าม
การขุดค้นหาแก้วโป่งข่าม นับว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย เพราะดูเหมือนกับเป็นการเสี่ยงโชค ต้องอาศัย "ดวง" กันเป็นหลัก เนื่องจากไม่มีการใช้เทคโนโลยี่ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการค้นหา การเลือกพื้นที่ ๆ จะทำการขุดจึงเป็นการเลือกแบบเดาสุ่ม โดยที่ไม่ทราบว่า ที่ ๆ ตนขุดลงไปนั้น จะพบแก้วโป่งข่ามหรือไม่ และจะต้องขุดลึกลงไปเท่าใด
ดังนั้น การ "บวงสรวง" เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา จึงเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ ในการเพิ่มความหวังและกำลังใจให้กับนักค้นหาแก้ว ตามความเชื่อของท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การบวงสรวงก็มักจะนำมาซึ่งความสมหวังให้กับนักค้นหาแก้วอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งทำให้พิธีกรรมเหล่านี้ ยังคงอยู่สืบเนื่องมานับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะชาวบ้านเท่านั้น แม้แต่คนสมัยใหม่และผู้ที่เป็นข้าราชการระดับสูง ก็เคยได้พานพบกับเรื่องอัศจรรย์นี้ด้วยเช่นกัน
|
การเข้าหุ้นค้นหาแก้ว |
|
ในการค้นหาแก้วโป่งข่าม นักขุดแก้วจะใช้ชะแลงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการขุด เนื่องจากบริเวณที่ขุดค้นหามักจะเป็นดินปนหิน ทำให้การขุดค่อนข้างจะยากลำบากไม่ใช่น้อย ยิ่งขุดลึกลงไปมากเท่าใด ยิ่งยากลำบากมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะนอกจากการขุดแล้ว ยังต้องนำเอาดินที่ขุดขึ้นมาไว้บนปากบ่ออีกด้วย
ดังนั้นจึงมีการรวมตัวกันของนักค้นหาแก้ว 2-3 คน "เข้าหุ้น" ช่วยกันขุดค้นหา โดยการผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ขุด และนำดินขึ้นบนปากบ่อ ซึ่งหากโชคดีได้พบบ่อแก้ว ก็จะทำการแบ่ง โดยอาจจะแบ่งแก้วให้แต่ละคนเท่า ๆ กัน หรืออาจจะนำไปขายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน ก็แล้วแต่จะตกลงกันในกลุ่ม
อีกประการหนึ่ง ในการพบบ่อแก้วหากบังเอิญมืดเสียก่อน ก็จะต้องมีการนอนเฝ้ากัน เนื่องจากเกรงว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ดี มาลักลอบขุดบ่อของตนในตอนกลางคืน ซึ่งคนประเภทชุบมือเปิบเหล่านี้ ยังคงมีแฝงตัวอยู่ทั่วไปในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมเมืองที่ศิวิไลซ์ หรือสังคมชนบทที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีความโอบอ้อมอารี แบ่งปันน้ำใจให้กันและกัน
โดยปกตินักขุดค้นหาแก้ว จะทำการขุดลงไปประมาณ 3-4 เมตร หากยังไม่พบ "สายแก้ว" (แท่งแก้วเล็ก ๆ เป็นแนวลงไปในพื้นดิน) หรือเกิดอาการ "ถอดใจ" แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะเกิดขึ้นก่อน ก็มักจะทำการย้ายบ่อ หรือเปลี่ยนที่ขุด ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ก็ถือว่าเป็นการ "เสี่ยงดวง" อีกเช่นกัน เนื่องจากมีบ่อยครั้ง ที่มีผู้มาขุดต่อ ขุดลงไปไม่ถึงฟุตก็ได้พบบ่อแก้วก็มี แบบนี้เรียกว่า "แล้วแต่ดวง"
การไปขุดแก้วแต่ละครั้ง นักค้นหาแก้วจะนำเอาอาหารไปด้วย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำ ซึ่งส่วนหนึ่งสำหรับดื่มแก้กระหาย และอีกส่วนหนึ่งสำหรับล้างแก้วที่ขุดได้ เนื่องจากแก้วมักจะมีดินพอกอยู่ ต้องล้างด้วยน้ำจึงจะทราบว่าตนเองขุดได้แก้วประเภทไหน ในบางครั้งน้ำที่เตรียมไว้สำหรับล้างแก้วหมด ก็จะนำน้ำสำหรับดื่มมาล้างแก้วแทน ซึ่งหากหมด และด้วยความใจร้อน ก็จะใช้ลิ้นเลียแก้วเอาเศษดินออก ทำให้ไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักที่พบว่า นักขุดแก้วมักจะมีเศษดินติดอยู่ตามปากเสมอเวลากลับบ้านในตอนเย็น
"แก้วลูกใด มีอันขาวก็ดี แดงก็ดี หรือเขียวรัศมีใน แก้วลูกนั้นชื่อว่า มหาสักรชาติ ไม่ควรคนโยธาสามาญทรง ควรแก่ท้าวพระยาผู้ใหญ่ ให้สระสรงน้ำส้มป่อยและน้ำส้มมะนาว ชำระด้วยฝ้ายขาว 7 เส้น ข้าวเปลือก ข้าวสาร เบี้ยเงินคำ บูชาด้วยฝ้ายมนต์"
"รัศมีใน" หมายถึงประกายอันระยิบระยับปรากฏอยู่ในแก้ว ซึ่งไม่อาจจะพบในแก้วอัญมณีชนิดอื่นใดได้ นอกจากแก้วผลิกกะชาติ เช่นที่บ่อแก้วโป่งข่ามนี้
อันขาวหรือใส คือวรรณะชาติดั้งเดิมของโป่งข่าม อันแดง อันเขียว คือปวกแดง ปวกเขียว ย่อมมีอยู่ในแก้วโป่งข่ามได้ รัศมีในย่อมเกิดขึ้นได้สามสถาน โดยลำดับคุณค่าแก้วรัศมีในดังนี้
- รัศมีในโดยประกายแก้วเข้าแก้วหมู่ หรือเง่าแก้วอันงดงาม รัศมีอันมีประกายรุ้ง 7 สี ทั้งประกายอันระยิบระยับ ทอแสงอยู่ในแก้ว จัดเป็นสิ่งมีค่าหาได้ยาก
"รัศมีใน" ในแก้วโป่งข่ามประเภทนี้ นับเป็นรัศมีในอันมีค่าสูงสุดของบ่อแก้วโป่งข่าม
- รัศมีในอันเกิดจากไรแก้ว อันประดิษฐ์อยู่ตามกาบกิ่ง และใบปวกต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มีค่าและหาได้ยากไม่น้อย
โดยเฉพาะไรแก้วที่ประดับดังกล่าว เสมือนหนึ่งน้ำค้าง หรือน้ำทิพย์ที่ชะโลมใบมณีพฤกษ์ สายลมเฉื่อยแผ่ว แล้วความเย็นถึงจุดน้ำแข็งก็เข้าแทนที่โดยฉับพลัน เหมือนน้ำค้างปลายกิ่งกัลปพฤกษ์ กลายเป็นน้ำแข็งในท่าสบัดนิ่งอยู่
รัศมีในแบบนี้ ไม่สามารถที่จะพบได้ในก้อนเพชร ก้อนพลอย นอกจากในแก้วโป่งข่ามเท่านั้น
- รัศมีในโดยประกายแก้ว ที่ปรากฏลวดลายขึ้นโดยธรรมชาติ
ลักษณะดังกล่าวนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ "รุ้งเจ็ดสี" ด้วยตำแหน่งลวดลายอันสลักเสลาขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นความงามเหนือน้ำมือมนุษย์อันธรรมชาติสร้างให้ เป็นสิ่งที่คนไม่อาจทำได้
คุณค่าความสวยงามและความหมาย ย่อมขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์นั้นได้สลักไว้ประณีตเพียงใด
ที่มา: คู่มือแก้วโป่งข่าม ฉบับวชิรเป๊กสูตร โดย ศักดิ์ รัตนชัย (พ.ศ. ๒๕๑๓) |