พระผงพระบาทกบ ครูบาชัยวงค์ เนื้อว่าชานหมาก ผงฝังเม็ดพระธาตุ ปี 2521 บล็อกหายาก(หลวงพ่อวงษ์) ด้านหลังพระบาทชี้ลง บล็อกนี้หายากมากหลวงปู่ครูบาวงค์เมตตาให้นำเม็ดพระธาตุบรรจุลงในองค์พระทำเเจกจ่ายกันภายในเท่านั้นครับ ตำนานพระบาทกบ พระบาทกบ ครั้นก่อนพุทธกาลอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนจะไม่นิยมสร้างเทวรูป หรือรูปปั้นคนไว้กราบไหว้บูชา ดังนั้นต่างพากันหันมาสร้างพระเจดีย์หรือรอยพระพุทธบาทขึ้น เพื่อบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้า ส่วนรอยพระพุทธบาทอาจทำเฉพาะข้างขวาหรือทั้งสองข้างก็ได้ ในคติธรรมของศาสนพราหมณ์นั้น มักกล่าวอ้างถึงพระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระทำสิ่งต่างๆในธรรมชาติให้เกิดขึ้น เช่น ภูเขาที่มีรูปร่างประหลาดจะอ้างว่าเป็นการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า ดังเช่นที่เมืองคะยา(ตั้งอยู่ห่างจากพุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าราว ๑๑ กิโลเมตร ณ ตำบลคะยาศิระมีเนินเขาแห่งหนึ่งมีศิลาลักษณะคล้ายคนนอนหงายและมีรอยเท้าประทับอยู่ข้างหนึ่ง โดยในมีตำนานกล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า รอยพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่หลายแห่ง เพื่อเป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชน แต่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพระบาทแปลกอยู่รอยหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า พระบาทกบ โดยมีความเป็นมาปรากฏอยู่ในหนังสือธรรมปกิณกะว่า ในสมัย“พระพุทธตันหังกะระ”ตรัสรู้เป็นพระสัมมาโพธิญาณ(ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ๒๘ พระองค์)มีครอบครัวยากจนตระกูลหนึ่ง ผู้บังเกิดเกล้าต่างเสียชีวิตไปแล้ว คงเหลือบุตรชาย ๔ คนผจญชะตากรรมตามลำพัง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการไปรับจ้างเลี้ยงควายให้กับผู้ใหญ่บ้าน สามารถประทับความอยู่รอดไปวันต่อวันเท่านั้น วันหนึ่งในขณะที่นำควายไปเล็มหญ้าอยู่ที่กลางทุ่ง พี่น้องทั้งสี่คนได้นั่งพักอยู่ใต้ต้นทองกวาว คุยกันตามความคิดเพ้อฝัน โดยถามไถ่ซึ่งกันและกันว่า ใครอยากเป็นอะไรและอยากไปเกิดเป็นอะไร น้องคนสุดท้องนั่งนิ่งนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกับพวกพี่ๆไปว่า“หากได้ไปเกิดเป็นเจ้าเมืองก็ทุกข์ เป็นเศรษฐีมั่งมีก็ทุกข์ เป็นเมียก็ทุกข์ เป็นลูกก็ทุกข์ ทุกข์หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สู้ขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่าจะได้พ้นทุกข์ ถ้าเป็นจริงได้ข้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น” ส่วนน้องคนที่สามได้ตอบเป็นเชิงขบขันว่า“ถ้าน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า พี่ยอมเอาขี้ไปถวายบูชา” น้องสุดท้องก็ว่า“ดีแล้ว เมื่อพี่ปรารถนาอย่างนั้น” แล้วหันไปถามพี่ชายคนรองว่า“แล้วพี่รองละ อยากเป็นอะไรบอกมาเถิด” พี่รองได้ตอบว่า“ถ้าน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า พี่รองจะถอนขนที่ก้นไปถวายบูชา” ฝ่ายพี่ชายคนโตนั่งฟังอยู่ จึงได้ดุว่าน้องทั้งสองของตนว่า“พวกเจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญา ในเมื่อน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า น้องทั้งสองกลับเอาสิ่งไม่ดีไปบูชา มันจะถูกหรือ?” หลังจากสิ้นสุดการสนทนาทุกคนไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งถึงตอนเย็นต่างพากันช่วยต้อนควายกลับคอก แต่ทว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้น ได้ส่งผลให้กลายเป็นจริงขึ้นในเวลาต่อมา พี่ชายคนโตพอตายไป ก็เกิดเป็นพญากบเฝ้ากอบัวอยู่ พี่ชายคนรองพอตายแล้ว ได้ไปเกิดเป็นพญานกยูง พี่ชายคนที่สามพอตายลง จึงไปเกิดเป็นพญาผึ้ง สำหรับน้องคนสุดท้องผู้มีใจบุญสุนทาน มั่นปฏิบัติธรรมมาตลอดชีวิต จึงได้เกิดเป็นหน่อพุทธางกูร เพื่อจะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน ส่วนพี่ๆทั้งสามถึงจะเกิดสัตว์ก็ได้บำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไปในอนาคตกาล แต่ทว่าสัจจะที่ลั่นออกจากปากในอดีต ได้ส่งผลในชาติต่อๆมา คือ พี่คนที่ ๓ ปรารถนาเอาขี้ไปบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้ไปเกิดเป็นพญาผึ้งให้ผู้คนก็ได้เอาขี้ผึ้งมาทำเป็นเทียน จุดถวายบูชาพระพุทธรูปหรือพระมหาธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นปูชนียสถานแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พี่คนที่ ๒ ปรารถนาจะถอนขนที่ก้นไปบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้ไปเกิดเป็นพญานกยูง ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนก็ได้นำเอาขนหางอันสวยงาม มาทำเป็นพัดใช้ในศาสนพิธี เช่น เมื่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ ก็ต้องทำพิธีพุทธาภิเษกและเบิกพระเนตร โดยเอาหางนกยูงมาพัดวี และเอาเทียนขี้ผึ้งมาจุดบูชาพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ส่วนผลกรรมของพี่คนโตที่ไปว่าน้องทั้งสองว่า โง่เขลาเบาปัญญานั้น ทำให้ไปเกิดเป็นพญากบเฝ้ากอบัวอยู่ แต่ไม่รู้คุณค่าของดอกบัว และผลกรรมนั้นยังได้ติดตามมาชาติต่อๆมา แม้จะมาเกิดเป็นกษัตริย์ บริวารของท่านก็ใช้คำพูดไม่ดีอยู่เสมอ คือ ชอบว่าผู้อื่นโง่เง่าเต่าตุนเป็นประจำ บริวารของท่านไม่ใช่อื่นไกลเป็นคนไทยในเวลานี้ ฝ่ายพญานกยูง ซึ่งเป็นพี่คนรอง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ บริวารของท่าน คือพม่าและไทยใหญ่ ซึ่งมีนิสัยชอบใช้โสร่งที่ปกปิดก้นเอามาเช็ดหน้า เอามาหนุนนอน เช่นเดียวกับนกยูงที่ถือหางเป็นสำคัญ ส่วนพญาผึ้ง ซึ่งเป็นน้องรองสุดท้อง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บริวารของท่าน คือ พวกกะเหรี่ยง พวกละว้า พวกชาวเขาเผ่าต่างๆ พวกนี้มีนิสัยนุ่งผ้าแล้วไม่ยอมซัก นุ่งจนผุจนขาด ถ้วยไหตะไลชามของใช้ก็ไม่ยอมล้าง อีกทั้งไม่นิยมอาบน้ำ ขี้ไคลพอกหนาเตอะ แทบจะเอามาปั้นเป็นก้อนเหมือนขี้ผึ้งได้ คล้ายกับผึ้งที่สะสมขี้เอาไว้ อาจจะกล่าวได้ว่า อุปนิสัยของแต่ละบุคคล แต่ละเชื้อชาติย่อมสืบทอดสะสมกันมาเป็นอเนกชาติ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ในชาติปัจจุบัน แม้แต่พระอัครสาวกก็ยังไม่เว้น จะมียกเว้นก็แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ฝ่ายพี่ชายคนโตที่ไปเกิดเป็นพญากบ ในยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ คือ พระกัสสปะ(ก่อนพระโคตมะหรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้มีพระมหาเถระรูปหนึ่งธุดงค์มาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาหยุดพักอยู่ที่ตั้งพระบาทกบในเวลานี้ และได้สวดมนต์ภาวนา ณ ที่นั้น ขณะเดียวกันที่พญากบได้ขึ้นจากฝั่งน้ำแม่ระกระโดดเข้ามาใกล้พระมหาเถระ พอได้ยินเสียงพระมหาเถระสวดมนต์ก็มานั่งฟัง ด้วยเข้าใจว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพระพุทธเจ้า มันก็ตั้งสตินั่งฟังอยู่ด้วยอาการสงบนิ่ง ในขณะที่พระกำลังสวดอยู่ เผอิญมีคนจับปลาเดินมา ในมือถือเหล็กแหลมใช้แทงสัตว์น้ำมาด้วย เมื่อเดินมาพบพระมหาเถระกำลังสวดมนต์อยู่ แต่ไม่เห็นกบที่กำลังฟังธรรมอยู่ในที่นั้น คนหาปลาก็เอาเหล็กแหลมที่ถือมาปักตั้งไว้บนพื้นดิน แล้วเดินเข้าไปกราบนมัสการพระเถระรูปนั้นและนั่งฟังเทศน์อยู่จนจบ แต่ทว่าเหล็กแหลมที่คนหาปลาปักลงดิน บังเอิญไปถูกพญากบอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งพญากบก็ยังไม่รู้สึกตัว เพราะกำลังฟังพระสวดเพลินอยู่ จนกระทั่งคนหาปลากราบลาพระมหาเถระ แล้วลุกขึ้นหันหลังกลับมาถอนเหล็กแหลมที่ปักอยู่ จึงได้เห็นและร้องอุทานว่า “โอ้หนอ เหล็กของเราแทงถูกกบตายเสียแล้ว” ฝ่ายพระมหาเถระได้ยินเสียงคนหาปลารำพัน เลยได้เดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ จึงทราบอย่างกระจ่างแจ้ง พร้อมบอกกับคนหาปลาว่า“อ้าว ท่านนายพรานปลาแทงกบตายเสียแล้ว นี่ไม่ใช่กบธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นพญากบที่มานั่งฟังธรรม” คนหาปลาก็บอกกับพระมหาเถระว่า“เป็นเพราะข้าพเจ้าอยากฟังธรรมที่ท่านเทศน์ แต่การเหล็กแหลมติดตัวเข้าไปด้วยเป็นการไม่สมควร จึงได้ปักดินตั้งไว้ โดยไม่รู้ว่าแทงถูกพญากบตายอย่างไม่ตั้งใจ” พระมหาเถระรูปนั้นมีความสงสารพญากบ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน แล้วเอาเท้าเหยียบลงที่หลังกบไว้เป็นรอยพระบาท เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ต่อไปภายหน้า ส่วนพญากบที่ตายอย่างไม่รู้ตัว เพราะกำลังนั่งฟังธรรมเพลินอยู่ จึงได้ไปจุติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีปราสาทสูง ๑๒ โยชน์ กว้าง ๑๒ โยชน์ มีเทพยดาทั้งหลายเป็นบริวารอยู่มากมายหลายโกฏิ เนื่องจากผลบุญกุศลที่ได้ตั้งใจสดับฟังเทศน์ ส่งผลให้พญากบได้ไปจุติเป็นเทพอยู่ ๗ ชาติ เมื่อสิ้นบุญก็ลงมาเกิดเป็นมหาเศรษฐีอยู่ในโลกมนุษย์ ได้เป็นใหญ่กว่าเศรษฐีทั่วไป มีนามว่า“เมนดะกะมหาเศรษฐี” หลังจากนั้น ยังได้มาเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์อีกหลายชาติ รวมทั้งยังจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า ทางวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จึงได้สร้างพระบาทกบไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาจะได้เข้าไปกราบไหว้บูชา นับว่าเป็นความมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น พระผงรุ่นพระบาทกบ. หลวงปู่ครูบาชัยวงค์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม แถวบนบล็อกหลวงพ่อ พระบาทหลังกบชี้ลงครับ แถวล่างบล็อกหลวงปู่ พระบาทหลังกบชี้ขึ้นครับ กบ ครูบาชัยวงค์ เนื้อว่าชานหมาก ผงฝังเม็ดพระธาตุ ปี 2521 บล็อกหายาก(หลวงพ่อวงษ์) ด้านหลังพระบาทชี้ลง บล็อกนี้หายากมากหลวงปู่ครูบาวงค์เมตตาให้นำเม็ดพระธาตุบรรจุลงในองค์พระทำเเจกจ่ายกันภายในเท่านั้นครับ ตำนานพระบาทกบ พระบาทกบ ครั้นก่อนพุทธกาลอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนจะไม่นิยมสร้างเทวรูป หรือรูปปั้นคนไว้กราบไหว้บูชา ดังนั้นต่างพากันหันมาสร้างพระเจดีย์หรือรอยพระพุทธบาทขึ้น เพื่อบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้า ส่วนรอยพระพุทธบาทอาจทำเฉพาะข้างขวาหรือทั้งสองข้างก็ได้ ในคติธรรมของศาสนพราหมณ์นั้น มักกล่าวอ้างถึงพระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระทำสิ่งต่างๆในธรรมชาติให้เกิดขึ้น เช่น ภูเขาที่มีรูปร่างประหลาดจะอ้างว่าเป็นการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า ดังเช่นที่เมืองคะยา(ตั้งอยู่ห่างจากพุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าราว ๑๑ กิโลเมตร ณ ตำบลคะยาศิระมีเนินเขาแห่งหนึ่งมีศิลาลักษณะคล้ายคนนอนหงายและมีรอยเท้าประทับอยู่ข้างหนึ่ง โดยในมีตำนานกล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า รอยพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่หลายแห่ง เพื่อเป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชน แต่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพระบาทแปลกอยู่รอยหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า พระบาทกบ โดยมีความเป็นมาปรากฏอยู่ในหนังสือธรรมปกิณกะว่า ในสมัย“พระพุทธตันหังกะระ”ตรัสรู้เป็นพระสัมมาโพธิญาณ(ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ๒๘ พระองค์)มีครอบครัวยากจนตระกูลหนึ่ง ผู้บังเกิดเกล้าต่างเสียชีวิตไปแล้ว คงเหลือบุตรชาย ๔ คนผจญชะตากรรมตามลำพัง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการไปรับจ้างเลี้ยงควายให้กับผู้ใหญ่บ้าน สามารถประทับความอยู่รอดไปวันต่อวันเท่านั้น วันหนึ่งในขณะที่นำควายไปเล็มหญ้าอยู่ที่กลางทุ่ง พี่น้องทั้งสี่คนได้นั่งพักอยู่ใต้ต้นทองกวาว คุยกันตามความคิดเพ้อฝัน โดยถามไถ่ซึ่งกันและกันว่า ใครอยากเป็นอะไรและอยากไปเกิดเป็นอะไร น้องคนสุดท้องนั่งนิ่งนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกับพวกพี่ๆไปว่า“หากได้ไปเกิดเป็นเจ้าเมืองก็ทุกข์ เป็นเศรษฐีมั่งมีก็ทุกข์ เป็นเมียก็ทุกข์ เป็นลูกก็ทุกข์ ทุกข์หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สู้ขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่าจะได้พ้นทุกข์ ถ้าเป็นจริงได้ข้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น” ส่วนน้องคนที่สามได้ตอบเป็นเชิงขบขันว่า“ถ้าน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า พี่ยอมเอาขี้ไปถวายบูชา” น้องสุดท้องก็ว่า“ดีแล้ว เมื่อพี่ปรารถนาอย่างนั้น” แล้วหันไปถามพี่ชายคนรองว่า“แล้วพี่รองละ อยากเป็นอะไรบอกมาเถิด” พี่รองได้ตอบว่า“ถ้าน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า พี่รองจะถอนขนที่ก้นไปถวายบูชา” ฝ่ายพี่ชายคนโตนั่งฟังอยู่ จึงได้ดุว่าน้องทั้งสองของตนว่า“พวกเจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญา ในเมื่อน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า น้องทั้งสองกลับเอาสิ่งไม่ดีไปบูชา มันจะถูกหรือ?” หลังจากสิ้นสุดการสนทนาทุกคนไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งถึงตอนเย็นต่างพากันช่วยต้อนควายกลับคอก แต่ทว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้น ได้ส่งผลให้กลายเป็นจริงขึ้นในเวลาต่อมา พี่ชายคนโตพอตายไป ก็เกิดเป็นพญากบเฝ้ากอบัวอยู่ พี่ชายคนรองพอตายแล้ว ได้ไปเกิดเป็นพญานกยูง พี่ชายคนที่สามพอตายลง จึงไปเกิดเป็นพญาผึ้ง สำหรับน้องคนสุดท้องผู้มีใจบุญสุนทาน มั่นปฏิบัติธรรมมาตลอดชีวิต จึงได้เกิดเป็นหน่อพุทธางกูร เพื่อจะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน ส่วนพี่ๆทั้งสามถึงจะเกิดสัตว์ก็ได้บำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไปในอนาคตกาล แต่ทว่าสัจจะที่ลั่นออกจากปากในอดีต ได้ส่งผลในชาติต่อๆมา คือ พี่คนที่ ๓ ปรารถนาเอาขี้ไปบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้ไปเกิดเป็นพญาผึ้งให้ผู้คนก็ได้เอาขี้ผึ้งมาทำเป็นเทียน จุดถวายบูชาพระพุทธรูปหรือพระมหาธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นปูชนียสถานแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พี่คนที่ ๒ ปรารถนาจะถอนขนที่ก้นไปบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้ไปเกิดเป็นพญานกยูง ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนก็ได้นำเอาขนหางอันสวยงาม มาทำเป็นพัดใช้ในศาสนพิธี เช่น เมื่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ ก็ต้องทำพิธีพุทธาภิเษกและเบิกพระเนตร โดยเอาหางนกยูงมาพัดวี และเอาเทียนขี้ผึ้งมาจุดบูชาพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ส่วนผลกรรมของพี่คนโตที่ไปว่าน้องทั้งสองว่า โง่เขลาเบาปัญญานั้น ทำให้ไปเกิดเป็นพญากบเฝ้ากอบัวอยู่ แต่ไม่รู้คุณค่าของดอกบัว และผลกรรมนั้นยังได้ติดตามมาชาติต่อๆมา แม้จะมาเกิดเป็นกษัตริย์ บริวารของท่านก็ใช้คำพูดไม่ดีอยู่เสมอ คือ ชอบว่าผู้อื่นโง่เง่าเต่าตุนเป็นประจำ บริวารของท่านไม่ใช่อื่นไกลเป็นคนไทยในเวลานี้ ฝ่ายพญานกยูง ซึ่งเป็นพี่คนรอง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ บริวารของท่าน คือพม่าและไทยใหญ่ ซึ่งมีนิสัยชอบใช้โสร่งที่ปกปิดก้นเอามาเช็ดหน้า เอามาหนุนนอน เช่นเดียวกับนกยูงที่ถือหางเป็นสำคัญ ส่วนพญาผึ้ง ซึ่งเป็นน้องรองสุดท้อง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บริวารของท่าน คือ พวกกะเหรี่ยง พวกละว้า พวกชาวเขาเผ่าต่างๆ พวกนี้มีนิสัยนุ่งผ้าแล้วไม่ยอมซัก นุ่งจนผุจนขาด ถ้วยไหตะไลชามของใช้ก็ไม่ยอมล้าง อีกทั้งไม่นิยมอาบน้ำ ขี้ไคลพอกหนาเตอะ แทบจะเอามาปั้นเป็นก้อนเหมือนขี้ผึ้งได้ คล้ายกับผึ้งที่สะสมขี้เอาไว้ อาจจะกล่าวได้ว่า อุปนิสัยของแต่ละบุคคล แต่ละเชื้อชาติย่อมสืบทอดสะสมกันมาเป็นอเนกชาติ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ในชาติปัจจุบัน แม้แต่พระอัครสาวกก็ยังไม่เว้น จะมียกเว้นก็แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ฝ่ายพี่ชายคนโตที่ไปเกิดเป็นพญากบ ในยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ คือ พระกัสสปะ(ก่อนพระโคตมะหรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้มีพระมหาเถระรูปหนึ่งธุดงค์มาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาหยุดพักอยู่ที่ตั้งพระบาทกบในเวลานี้ และได้สวดมนต์ภาวนา ณ ที่นั้น ขณะเดียวกันที่พญากบได้ขึ้นจากฝั่งน้ำแม่ระกระโดดเข้ามาใกล้พระมหาเถระ พอได้ยินเสียงพระมหาเถระสวดมนต์ก็มานั่งฟัง ด้วยเข้าใจว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพระพุทธเจ้า มันก็ตั้งสตินั่งฟังอยู่ด้วยอาการสงบนิ่ง ในขณะที่พระกำลังสวดอยู่ เผอิญมีคนจับปลาเดินมา ในมือถือเหล็กแหลมใช้แทงสัตว์น้ำมาด้วย เมื่อเดินมาพบพระมหาเถระกำลังสวดมนต์อยู่ แต่ไม่เห็นกบที่กำลังฟังธรรมอยู่ในที่นั้น คนหาปลาก็เอาเหล็กแหลมที่ถือมาปักตั้งไว้บนพื้นดิน แล้วเดินเข้าไปกราบนมัสการพระเถระรูปนั้นและนั่งฟังเทศน์อยู่จนจบ แต่ทว่าเหล็กแหลมที่คนหาปลาปักลงดิน บังเอิญไปถูกพญากบอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งพญากบก็ยังไม่รู้สึกตัว เพราะกำลังฟังพระสวดเพลินอยู่ จนกระทั่งคนหาปลากราบลาพระมหาเถระ แล้วลุกขึ้นหันหลังกลับมาถอนเหล็กแหลมที่ปักอยู่ จึงได้เห็นและร้องอุทานว่า “โอ้หนอ เหล็กของเราแทงถูกกบตายเสียแล้ว” ฝ่ายพระมหาเถระได้ยินเสียงคนหาปลารำพัน เลยได้เดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ จึงทราบอย่างกระจ่างแจ้ง พร้อมบอกกับคนหาปลาว่า“อ้าว ท่านนายพรานปลาแทงกบตายเสียแล้ว นี่ไม่ใช่กบธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นพญากบที่มานั่งฟังธรรม” คนหาปลาก็บอกกับพระมหาเถระว่า“เป็นเพราะข้าพเจ้าอยากฟังธรรมที่ท่านเทศน์ แต่การเหล็กแหลมติดตัวเข้าไปด้วยเป็นการไม่สมควร จึงได้ปักดินตั้งไว้ โดยไม่รู้ว่าแทงถูกพญากบตายอย่างไม่ตั้งใจ” พระมหาเถระรูปนั้นมีความสงสารพญากบ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน แล้วเอาเท้าเหยียบลงที่หลังกบไว้เป็นรอยพระบาท เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ต่อไปภายหน้า ส่วนพญากบที่ตายอย่างไม่รู้ตัว เพราะกำลังนั่งฟังธรรมเพลินอยู่ จึงได้ไปจุติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีปราสาทสูง ๑๒ โยชน์ กว้าง ๑๒ โยชน์ มีเทพยดาทั้งหลายเป็นบริวารอยู่มากมายหลายโกฏิ เนื่องจากผลบุญกุศลที่ได้ตั้งใจสดับฟังเทศน์ ส่งผลให้พญากบได้ไปจุติเป็นเทพอยู่ ๗ ชาติ เมื่อสิ้นบุญก็ลงมาเกิดเป็นมหาเศรษฐีอยู่ในโลกมนุษย์ ได้เป็นใหญ่กว่าเศรษฐีทั่วไป มีนามว่า“เมนดะกะมหาเศรษฐี” หลังจากนั้น ยังได้มาเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์อีกหลายชาติ รวมทั้งยังจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า ทางวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จึงได้สร้างพระบาทกบไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาจะได้เข้าไปกราบไหว้บูชา นับว่าเป็นความมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น
พระผงพระบาทกบ ครูบาชัยวงค์ เนื้อว่าชานหมาก ผงฝังเม็ดพระธาตุ ปี 2521 บล็อกหายาก(หลวงพ่อวงษ์) ด้านหลังพระบาทชี้ลง บล็อกนี้หายากมากหลวงปู่ครูบาวงค์เมตตาให้นำเม็ดพระธาตุบรรจุลงในองค์พระทำเเจกจ่ายกันภายในเท่านั้นครับ ตำนานพระบาทกบ พระบาทกบ ครั้นก่อนพุทธกาลอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนจะไม่นิยมสร้างเทวรูป หรือรูปปั้นคนไว้กราบไหว้บูชา ดังนั้นต่างพากันหันมาสร้างพระเจดีย์หรือรอยพระพุทธบาทขึ้น เพื่อบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้า ส่วนรอยพระพุทธบาทอาจทำเฉพาะข้างขวาหรือทั้งสองข้างก็ได้ ในคติธรรมของศาสนพราหมณ์นั้น มักกล่าวอ้างถึงพระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กระทำสิ่งต่างๆในธรรมชาติให้เกิดขึ้น เช่น ภูเขาที่มีรูปร่างประหลาดจะอ้างว่าเป็นการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า ดังเช่นที่เมืองคะยา(ตั้งอยู่ห่างจากพุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าราว ๑๑ กิโลเมตร ณ ตำบลคะยาศิระมีเนินเขาแห่งหนึ่งมีศิลาลักษณะคล้ายคนนอนหงายและมีรอยเท้าประทับอยู่ข้างหนึ่ง โดยในมีตำนานกล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า รอยพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่หลายแห่ง เพื่อเป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชน แต่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพระบาทแปลกอยู่รอยหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า พระบาทกบ โดยมีความเป็นมาปรากฏอยู่ในหนังสือธรรมปกิณกะว่า ในสมัย“พระพุทธตันหังกะระ”ตรัสรู้เป็นพระสัมมาโพธิญาณ(ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ๒๘ พระองค์)มีครอบครัวยากจนตระกูลหนึ่ง ผู้บังเกิดเกล้าต่างเสียชีวิตไปแล้ว คงเหลือบุตรชาย ๔ คนผจญชะตากรรมตามลำพัง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการไปรับจ้างเลี้ยงควายให้กับผู้ใหญ่บ้าน สามารถประทับความอยู่รอดไปวันต่อวันเท่านั้น วันหนึ่งในขณะที่นำควายไปเล็มหญ้าอยู่ที่กลางทุ่ง พี่น้องทั้งสี่คนได้นั่งพักอยู่ใต้ต้นทองกวาว คุยกันตามความคิดเพ้อฝัน โดยถามไถ่ซึ่งกันและกันว่า ใครอยากเป็นอะไรและอยากไปเกิดเป็นอะไร น้องคนสุดท้องนั่งนิ่งนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกับพวกพี่ๆไปว่า“หากได้ไปเกิดเป็นเจ้าเมืองก็ทุกข์ เป็นเศรษฐีมั่งมีก็ทุกข์ เป็นเมียก็ทุกข์ เป็นลูกก็ทุกข์ ทุกข์หมดทุกสิ่งทุกอย่าง สู้ขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่าจะได้พ้นทุกข์ ถ้าเป็นจริงได้ข้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น” ส่วนน้องคนที่สามได้ตอบเป็นเชิงขบขันว่า“ถ้าน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า พี่ยอมเอาขี้ไปถวายบูชา” น้องสุดท้องก็ว่า“ดีแล้ว เมื่อพี่ปรารถนาอย่างนั้น” แล้วหันไปถามพี่ชายคนรองว่า“แล้วพี่รองละ อยากเป็นอะไรบอกมาเถิด” พี่รองได้ตอบว่า“ถ้าน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า พี่รองจะถอนขนที่ก้นไปถวายบูชา” ฝ่ายพี่ชายคนโตนั่งฟังอยู่ จึงได้ดุว่าน้องทั้งสองของตนว่า“พวกเจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญา ในเมื่อน้องเล็กได้เป็นพระพุทธเจ้า น้องทั้งสองกลับเอาสิ่งไม่ดีไปบูชา มันจะถูกหรือ?” หลังจากสิ้นสุดการสนทนาทุกคนไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งถึงตอนเย็นต่างพากันช่วยต้อนควายกลับคอก แต่ทว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้น ได้ส่งผลให้กลายเป็นจริงขึ้นในเวลาต่อมา พี่ชายคนโตพอตายไป ก็เกิดเป็นพญากบเฝ้ากอบัวอยู่ พี่ชายคนรองพอตายแล้ว ได้ไปเกิดเป็นพญานกยูง พี่ชายคนที่สามพอตายลง จึงไปเกิดเป็นพญาผึ้ง สำหรับน้องคนสุดท้องผู้มีใจบุญสุนทาน มั่นปฏิบัติธรรมมาตลอดชีวิต จึงได้เกิดเป็นหน่อพุทธางกูร เพื่อจะสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน ส่วนพี่ๆทั้งสามถึงจะเกิดสัตว์ก็ได้บำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไปในอนาคตกาล แต่ทว่าสัจจะที่ลั่นออกจากปากในอดีต ได้ส่งผลในชาติต่อๆมา คือ พี่คนที่ ๓ ปรารถนาเอาขี้ไปบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้ไปเกิดเป็นพญาผึ้งให้ผู้คนก็ได้เอาขี้ผึ้งมาทำเป็นเทียน จุดถวายบูชาพระพุทธรูปหรือพระมหาธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นปูชนียสถานแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พี่คนที่ ๒ ปรารถนาจะถอนขนที่ก้นไปบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้ไปเกิดเป็นพญานกยูง ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนก็ได้นำเอาขนหางอันสวยงาม มาทำเป็นพัดใช้ในศาสนพิธี เช่น เมื่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ ก็ต้องทำพิธีพุทธาภิเษกและเบิกพระเนตร โดยเอาหางนกยูงมาพัดวี และเอาเทียนขี้ผึ้งมาจุดบูชาพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ส่วนผลกรรมของพี่คนโตที่ไปว่าน้องทั้งสองว่า โง่เขลาเบาปัญญานั้น ทำให้ไปเกิดเป็นพญากบเฝ้ากอบัวอยู่ แต่ไม่รู้คุณค่าของดอกบัว และผลกรรมนั้นยังได้ติดตามมาชาติต่อๆมา แม้จะมาเกิดเป็นกษัตริย์ บริวารของท่านก็ใช้คำพูดไม่ดีอยู่เสมอ คือ ชอบว่าผู้อื่นโง่เง่าเต่าตุนเป็นประจำ บริวารของท่านไม่ใช่อื่นไกลเป็นคนไทยในเวลานี้ ฝ่ายพญานกยูง ซึ่งเป็นพี่คนรอง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ บริวารของท่าน คือพม่าและไทยใหญ่ ซึ่งมีนิสัยชอบใช้โสร่งที่ปกปิดก้นเอามาเช็ดหน้า เอามาหนุนนอน เช่นเดียวกับนกยูงที่ถือหางเป็นสำคัญ ส่วนพญาผึ้ง ซึ่งเป็นน้องรองสุดท้อง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บริวารของท่าน คือ พวกกะเหรี่ยง พวกละว้า พวกชาวเขาเผ่าต่างๆ พวกนี้มีนิสัยนุ่งผ้าแล้วไม่ยอมซัก นุ่งจนผุจนขาด ถ้วยไหตะไลชามของใช้ก็ไม่ยอมล้าง อีกทั้งไม่นิยมอาบน้ำ ขี้ไคลพอกหนาเตอะ แทบจะเอามาปั้นเป็นก้อนเหมือนขี้ผึ้งได้ คล้ายกับผึ้งที่สะสมขี้เอาไว้ อาจจะกล่าวได้ว่า อุปนิสัยของแต่ละบุคคล แต่ละเชื้อชาติย่อมสืบทอดสะสมกันมาเป็นอเนกชาติ ยากที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ในชาติปัจจุบัน แม้แต่พระอัครสาวกก็ยังไม่เว้น จะมียกเว้นก็แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ฝ่ายพี่ชายคนโตที่ไปเกิดเป็นพญากบ ในยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ คือ พระกัสสปะ(ก่อนพระโคตมะหรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้มีพระมหาเถระรูปหนึ่งธุดงค์มาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาหยุดพักอยู่ที่ตั้งพระบาทกบในเวลานี้ และได้สวดมนต์ภาวนา ณ ที่นั้น ขณะเดียวกันที่พญากบได้ขึ้นจากฝั่งน้ำแม่ระกระโดดเข้ามาใกล้พระมหาเถระ พอได้ยินเสียงพระมหาเถระสวดมนต์ก็มานั่งฟัง ด้วยเข้าใจว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพระพุทธเจ้า มันก็ตั้งสตินั่งฟังอยู่ด้วยอาการสงบนิ่ง ในขณะที่พระกำลังสวดอยู่ เผอิญมีคนจับปลาเดินมา ในมือถือเหล็กแหลมใช้แทงสัตว์น้ำมาด้วย เมื่อเดินมาพบพระมหาเถระกำลังสวดมนต์อยู่ แต่ไม่เห็นกบที่กำลังฟังธรรมอยู่ในที่นั้น คนหาปลาก็เอาเหล็กแหลมที่ถือมาปักตั้งไว้บนพื้นดิน แล้วเดินเข้าไปกราบนมัสการพระเถระรูปนั้นและนั่งฟังเทศน์อยู่จนจบ แต่ทว่าเหล็กแหลมที่คนหาปลาปักลงดิน บังเอิญไปถูกพญากบอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งพญากบก็ยังไม่รู้สึกตัว เพราะกำลังฟังพระสวดเพลินอยู่ จนกระทั่งคนหาปลากราบลาพระมหาเถระ แล้วลุกขึ้นหันหลังกลับมาถอนเหล็กแหลมที่ปักอยู่ จึงได้เห็นและร้องอุทานว่า “โอ้หนอ เหล็กของเราแทงถูกกบตายเสียแล้ว” ฝ่ายพระมหาเถระได้ยินเสียงคนหาปลารำพัน เลยได้เดินเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ จึงทราบอย่างกระจ่างแจ้ง พร้อมบอกกับคนหาปลาว่า“อ้าว ท่านนายพรานปลาแทงกบตายเสียแล้ว นี่ไม่ใช่กบธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นพญากบที่มานั่งฟังธรรม” คนหาปลาก็บอกกับพระมหาเถระว่า“เป็นเพราะข้าพเจ้าอยากฟังธรรมที่ท่านเทศน์ แต่การเหล็กแหลมติดตัวเข้าไปด้วยเป็นการไม่สมควร จึงได้ปักดินตั้งไว้ โดยไม่รู้ว่าแทงถูกพญากบตายอย่างไม่ตั้งใจ” พระมหาเถระรูปนั้นมีความสงสารพญากบ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน แล้วเอาเท้าเหยียบลงที่หลังกบไว้เป็นรอยพระบาท เพื่อให้เป็นอนุสรณ์ต่อไปภายหน้า ส่วนพญากบที่ตายอย่างไม่รู้ตัว เพราะกำลังนั่งฟังธรรมเพลินอยู่ จึงได้ไปจุติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีปราสาทสูง ๑๒ โยชน์ กว้าง ๑๒ โยชน์ มีเทพยดาทั้งหลายเป็นบริวารอยู่มากมายหลายโกฏิ เนื่องจากผลบุญกุศลที่ได้ตั้งใจสดับฟังเทศน์ ส่งผลให้พญากบได้ไปจุติเป็นเทพอยู่ ๗ ชาติ เมื่อสิ้นบุญก็ลงมาเกิดเป็นมหาเศรษฐีอยู่ในโลกมนุษย์ ได้เป็นใหญ่กว่าเศรษฐีทั่วไป มีนามว่า“เมนดะกะมหาเศรษฐี” หลังจากนั้น ยังได้มาเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์อีกหลายชาติ รวมทั้งยังจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า ทางวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จึงได้สร้างพระบาทกบไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาจะได้เข้าไปกราบไหว้บูชา นับว่าเป็นความมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น พระผงรุ่นพระบาทกบ. หลวงปู่ครูบาชัยวงค์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม แถวบนบล็อกหลวงพ่อ พระบาทหลังกบชี้ลงครับ แถวล่างบล็อกหลวงปู่ พระบาทหลังกบชี้ขึ้นครับ