“คุณธรรมหรือความดีที่คนเราควรประพฤตินั้น “สติ” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด....
กล่าวคือ “สติ” หมายถึงความระลึกได้และความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
ดังนั้นการมีสติจะเป็นการช่วยทำให้เรามีการพูด คิดและดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบ”
ท่านว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเวลาฝึกปฏิบัติ กิเลสมักจะมาจับ พอตั้งกรรมฐานเข้าต่อสู้ เจ้าตัวกิเลสมันก็จะหายไป
อุปมาดั่งการทิ้งก้อนหินลงในน้ำ พอเราขว้างก้อนหินลงไป...น้ำก็จะแหวกออกจากกัน สักพักน้อยเดียวน้ำนั้นก็จะกลับเข้ามาเต็มแบบเดิม...เพราะเหตุนี้สติจึงมีความสำคัญ
คน เรานะครับไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน ล้วนแล้วแต่ต้องมีสติ เช่นถ้าเราขาดสติในการนั่ง เราอาจจะเผอเรอไปนั่งบนเก้าอี้ที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดก็ได้ หรือเราขาดสติในการนอน ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการนอนไม่หลับ เป็นต้น
“เมื่อ เรากำลังจะนอนก็ต้องกำหนดว่าเรากำลังจะนอน ใช้สติสัมปชัญญะเข้าดูแลตัวเองในการนอน เมื่อมีสติในการนอน ก็จะนอนไม่ตกเตียง ไม่ตกหมอน
การทำทุกอย่างด้วยความมีสตินี่แหละ มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้พวกเราศึกษาในเรื่องการมีสติเพื่อพัฒนาตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะในอิริบยาบถสี่ ชีวิตจึงจะไม่มีอันตราย...”
ว่ากันว่า “ความโกรธ ละได้ด้วย การเจริญเมตตา ความอยาก ละได้ด้วย การบริจาค โมหะ ละได้ด้วย ปัญญา...”
“สมัยก่อนหลวงปู่ติดบุหรี่ ก็ละบุหรี่ได้ ชอบดูมวย ก็มาละไม่ดูมวย พอเลิกได้ก็ยกโทรทัศน์ให้เขาไปเลย เหลือแต่วิทยุไว้ฟังข่าว...”
“เวลา มีเรื่องราวมากระทบใจเราหนักๆ เราจะต้องหัดนิ่ง ไม่ด่า ไม่โกรธ การที่เรานิ่งได้มันก็ไม่ใช่ว่าจะดับได้ การจะดับเรื่องพวกนี้ได้ต้องใช้ปัญญาเข้าไปตัด”
เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ “ปัญหามา ปัญญาเกิด” แต่สำหรับหลวงปู่ดี ท่านว่าบางที”ปัญหามาเล่นเอาปัญญาเกือบดับ”....เรื่องนี้มีความเป็นมาครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว.....
สมัย ก่อนตอนที่ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง ท่านชอบรับนิมนต์ไปเทศนาสั่งสอนนักโทษในเรือนจำ ท่านว่านักโทษพวกนี้เป็นคนฉลาดในทางโลก เราจะประมาทพวกเขาไม่ได้ เพราะตัวของหลวงปู่เองยังโดนนักโทษพวกนี้สอยกลับมาแล้ว เหตุเกิดจากมีนักโทษคนหนึ่งถามท่านว่า
“โลกของเรานี้มีความทุกข์กี่แบบ”
ท่านตอบว่ามีหลายแบบ แต่เราสามารถเรียกรวมกันว่า
“ทุกข์เวทนา”
ครั้นพอท่านย้อนถามเขาว่า “แล้วทุกข์ของโยมล่ะมีกี่แบบ” คำตอบที่ท่านได้รับ เล่นเอาท่านนั่งงงไปพักใหญ่ เพราะนักโทษคนนั้นตอบว่ามีสามแบบคือ
“ทุกข์แขน ทุกข์ขาและทุกข์ขัง”
คำอธิบายความของนักโทษในวันนั้น ทำให้ท่านต้องจดจำมาถึงทุกวันนี้
“ทุกข์แขน เพราะแขนโดนใส่กุญแจมือ
ทุกข์ขา เพราะขาโดนใส่โซ่ตรวน
ส่วนทุกข์ขัง เพราะเขาโดนขังลืม”
ท่าน ว่าได้ฟังคำตอบของนักโทษแล้วต้องยิ้ม คิดในใจว่าใครหนอว่าคนเหล่านี้ไม่มีความคิด ความจริงแล้วความคิดของเขามีอยู่มากมายเพียงแต่ขาดสิ่งที่จะเข้ามานำแนวทาง ของความคิดให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น
นี่ แหละครับคือจุดพบกันระหว่างโลกสองใบ ใบหนึ่งคือโลกของมนุษย์ในเรือนจำ กับอีกโลกหนึ่งคือโลกแห่งพระธรรม ถึงทั้งสองโลกนี้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มันก็สามารถกอดคอเดินร่วมทางกันไปสู่จุดหมายได้ เพราะสุดท้ายของการเทศนาจบลงด้วย
“ความศรัทธาของนักโทษที่เคยบวชเป็นพระ” และ “การรู้จักละโมหะของพระที่ไม่เคยเป็นนักโทษ...”
พวกเรานึกสนุกเลยถามหลวงปู่ว่าแล้วโลกเราที่ร้อนอยู่ทุกวันนี้จะแก้ไขได้อย่างไร
“โลกเราที่ร้อนอยู่ทุกวันนี้เกิดจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง หากเราตัดพวกนี้ได้ ชีวิตก็จะดีขึ้น”
หลวงปู่ครับ เพื่อนผมคนนี้มันอกหัก...
“วิธีการแก้อกหัก คือการหักอก หักอกหักใจจากสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์ของความรักเกิดจากความไม่สมหวัง
เราไม่ควรมองว่าความรักคือการสมหวัง แต่ควรมองว่าเราวางความสมหวังของความรักไว้ตรงไหน”
ครับ ถึงคำตอบจะไม่ตรงใจคนเจ็บ แต่มันก็เป็นคำสอนที่น่ารักจริงๆ ฟังแล้วเห็นสัจธรรมของคำว่าความรัก พวกเราได้แต่ปลอบใจเพื่อนว่า
“เอาน่า..เสียน้ำตาบูชาครู คงไม่ทำให้ชีวิตติดลบสักเท่าไร”
ปัจจุบันหลวง ปู่ดี ธมมธีโร ท่านจะมีสิริอายุถึง ๘๘ ปีแล้วครับ ตลอดชีวิตของท่านผ่านการเดินธุดงค์มานานกว่า ๓๖ ปี กิตติคุณในด้านวิทยาคมของท่านเป็นที่นับถือของศิษยานุศิษย์และบรรดาพระเกจิ อาจารย์ในจังหวัดอ่างทอง
ถึงวัตถุมงคลของท่านจะมีประสบการณ์มากมายแต่ท่านก็ไม่เคยสอนให้พวกเรายึดติดกับสิ่งเหล่านั้น
|