พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
มีข่าวเอิ้นบอก

หลวงปู่ดี อาพาธ ช่วยทำบุญร่วมกับท่านครับ


หลวงปู่ดี อาพาธ ช่วยทำบุญร่วมกับท่านครับ


หลวงปู่ดี อาพาธ ช่วยทำบุญร่วมกับท่านครับ

   
 

หลวงปู่ดี ธัมมธีโร  วัดสุทธาราม (อดีตท่านอยู่วัดเทพากร กรุงเทพ)  อาพาธ พักรักษาอยู่

โรงพยบาลพยาไท 3  พึ่งออกจากห้อง ICU ตอนนี้ เกิดอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ค่ารักษาพยาบาลปัจจุบัน หลักแสน  ขอทุกท่าน ทำบุญช่วยค่ารักษาพยาบาลได้ครับ 

 

ชื่อบัญชี  หลวงปู่ดีเพื่อการรักษาพยาบาล

ธนาคารธนชาติ เลขที่บัญชี 291-2-16441-3

 
     
โดย : kotaro2011   [Feedback +0 -0] [+0 -0]   Tue 3, Jul 2012 11:44:42
 
 

ชื่อบัญชี  หลวงปู่ดีเพื่อการรักษาพยาบาล

ธนาคารธนชาติ เลขที่บัญชี 291-2-16441-3

 
โดย : kotaro2011    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 1 ] Tue 3, Jul 2012 11:45:23

 

ศึกษาประวัติท่านได้ครับ

http://www.oknation.net/blog/sitthi/2009/06/26/entry-1

สำหรับหลวงปู่ “พระภิกษุดี ธมมธีโร” ปาฏิหาริย์ในเรื่องของวัตถุมงคลท่านว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง หากแต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าปาฏิหาริย์นั้นจะไม่มีบังเกิดขึ้น เพียงแต่คำตอบนั้นมันยากจะพิสูจน์ บางครั้งลวง บางครั้งเท็จ คำถามมีอยู่ว่าแล้วปาฏิหาริย์ใดเล่าคือความจริงแน่แท้….. 

อาจกล่าวได้ว่า จุดเริ่มต้นของความเป็นหลวงปู่ดี ธมมธีโรในวันนี้เกิดจากความไม่รู้ในเรื่องที่ควรรู้ ศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง และเรื่องที่พูดถึงคงเป็นเรื่องของการแสดงฤทธิ์ต่างๆ เช่นการเสกใบมะขามเป็นตัวต่อ การทำน้ำมนต์รดคนให้หมดทุกข์ ฯลฯ.....

 

หลวงปู่ดี ธมมธีโรองค์นี้ ผมรู้จักท่านมานานแล้วครับ รู้จักท่านในแง่มุมที่ว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เชียวชาญในเรื่องของคาถา อาคม แต่ก็ยังไม่เคยได้เข้าไปกราบนมัสการท่านเลย ทั้งๆที่ท่านจำพรรษาอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ

จนเมื่อได้รับคำแนะนำจากลูกศิษย์ของท่าน  

นัก วิทยาศาสตร์เขาบอกว่าแสงเดินทางเร็วกว่าเสียง นักกฎหมายเขาก็บอกอีกว่า มรดกตกทอดเร็วกว่าที่เราคิด แต่ผมว่าตอนนี้ต้องรวมคำว่าความอยากด้วยครับ พอความอยากเกิดขึ้นกลางใจ ความไวจากกิเลสก็ตอบสนองทันที 

วัดเทพากร บางพลัด กรุงเทพมหานคร คือสถานที่จำพรรษาของพระสุปฏิปันโนองค์นี้ครับ

 

 

 

 
โดย : kotaro2011    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 2 ] Tue 3, Jul 2012 12:07:30

 

หลวงปู่ย้อนอดีตให้พวกเราฟังว่า ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๗ กรกฏาคม ๒๔๖๔ ในรัชการที่ ๖ โยมพ่อชื่อ “เป้า” โยมแม่ชื่อ “ไทย” นามสกุล “มณีเนียม” เป็นคนจังหวัดอ่างทอง หลวงปู่เป็นลูกชายคนที่ ๒ ของพี่น้องทั้งหมด ๓ คน พอท่านเริ่มโตโยมพ่อโยมแม่ของท่านได้เอาท่านไปฝากไว้กับพระที่วัดเพื่อให้ ได้เล่าเรียนหนังสือ แต่ก็ยังไม่ทันได้เรียนจบ พระก็สึกเสียก่อนทำให้ท่านต้องกลับมาอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำนาและไม่ได้เรียน หนังสืออีกเลย 

หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๙ ปี ณ วัดศรีกุญชร อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ในสมัยนั้น”หลวงตาพริ้ง” ถือว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองเวทย์ในด้านเมตตามหานิยม  ท่านจึงได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้และศึกษาวิชาอาคมจากหลวงตาพริ้งจนครบถ้วน

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ท่านจึงได้อุปสมบท ณ วัดโพธิ์เกรียบ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๘๔ โดยมี “พระครูโพธิสารสุนทร(รอด)” วัดโพธิ์เกรียบ เป็นพระอุปัชฌาย์ “พระครูจันทรโพธิคุณ(หยวก)” วัดโพธิ์เกรียบ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ “พระปลัดชิต” วัดโพธิ์เกรียบ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงปู่ได้รับฉายาว่า “ธมมธีโร” ซึ่งแปลว่า

ผู้เป็นปราชญ์ในทางธรรม” 

ด้วย ใจที่ฝักใฝ่ธรรมะและสนใจในเรื่องของคาถาอาคมเป็นทุนอยู่แล้ว เส้นทางชีวิตในพระพุทธศาสนา ณ ช่วงเวลานั้นจึงเต็มไปด้วยการขยันออกหาครูบาอาจารย์เพื่อขอถ่ายทอดวิชา

หลวง ปู่เล่าให้พวกเราฟังว่าท่านศึกษาวิชาอาคมกับครูบาอาจารย์หลายท่าน ซึ่งสมัยนั้นในจังหวัดอ่างทองก็อุดมไปด้วยพระเกจิอาจารย์มากมาย เช่น “หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง” ซึ่งเป็นคุณอาแท้ๆของท่าน

หลวงปู่เคยเป็นคนดื้อ ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ การจะขอเรียนวิชากับใคร ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเก่งจริง ทำได้จริง...” 

ครูบาอาจารย์องค์สำคัญที่หลวงปู่พูดถึงค่อนข้างบ่อยคือ “หลวงปู่จัน จันทะโชติ  วัดนางหนู” หลวงปู่จันองค์นี้ เชื่อว่าหลายท่านคงจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าสมัยสงครามอินโดจีน กิตติคุณของท่านแผ่ออกไปยิ่งใหญ่ไพศาล

ในยุคสมัยนั้นท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังพร้อมกับสโลแกนที่ว่า  “จาด จง คง จัน” สโลแกนที่ไม่ได้มาจากการโปรโมทแต่เกิดจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง 

จาด คือหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา จังหวัดปราจีนบุรี จง คือหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คง คือหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม จังหวัดสมุทรสงคราม และจัน คือหลวงปู่จัน วัดนางหนู จังหวัดลพบุรี คำจำกัดความที่บอกความเป็นหลวงปู่จันมากที่สุดคือคำๆนี้ครับ “เทพเจ้าของชาวลพบุรี

หลวงปู่เล่าว่าสมัยก่อนท่านได้ไปขอเรียนวิชากับ”หลวงพ่อผิว วัดคลองสายบัว” จังหวัดลพบุรี

หลวงพ่อผิว เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่จัน วัดนางหนู คงจะเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสที่ต้องกันแหละครับ หลวงพ่อผิวท่านจึงให้ความเมตตากับหลวงปู่ดี พร้อมกับได้อนุญาตและนำหลวงปู่ดี ไปฝากเรียนวิชากับหลวงปู่จัน และด้วยความที่หลวงปู่ดีเป็นพระที่ทรงความสมถะอยู่เสมอ หลวงปู่จันจึงได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้กับหลวงปู่ดีมากมาย ตั้งแต่วิชาหมอดู เมตตา แคล้วคลาด คงกระพัน ฯลฯ  

ผม คิดว่าคนโบราณถือว่ามีความฉลาดเป็นเยี่ยม เพราะเมื่อหลวงปู่จัน ทราบว่าหลวงปู่ดีท่านไม่ค่อยแม่นหนังสือสักเท่าไร ท่านจึงได้ถ่ายทอดให้โดยการสอนแบบปฏิบัติ กล่าวคือเช่นเมื่อท่านจะสอนวิชาหมอดู ท่านจะแสดงความแม่นยำในการทำนายให้หลวงปู่ดีเห็นก่อน เมื่อท่านทำให้ดูแล้วท่านก็จะนำพาไปฝึกภาคสนาม 

ช่วงกลางคืนเป็นเวลาฝึกภาคปฏิบัติ โดยหลวงปู่จันท่านจะพาหลวงปู่ดีออกเดินไปในป่า

สมัยนั้นคำว่า “ป่า” ก็คือ “ป่า” ป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้และสัตว์ป่าชุกชุม  

หลังจากออกเดินไปสักพักหนึ่ง ท่านจึงถามหลวงปู่ดีว่า 

อาจารย์ดี ยามนี้เป็นยามอะไร ยามนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น” 

หลวง ปู่ดีท่านจึงเริ่มนับนิ้วจับยามสามตา คำนวณฤกษ์พานาทีแล้วจึงตอบว่าเป็นยามอะไร และจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หลวงปู่เล่าว่าท่านกับหลวงปู่จันนั่งพักเพื่อรอดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจะ ตรงตามตำราว่าไว้หรือเปล่า รวบรัดสรุปความว่า  

ถูกต้องและแม่นยำ”  

คำทำนายที่ตำราว่าไว้ไม่มีผิดเพี้ยนเลย

 
โดย : kotaro2011    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 3 ] Tue 3, Jul 2012 12:09:21

 

มหานทีแห่งไสยศาสตร์กว้างขวางยิ่งนัก พระภิกษุดีผู้ไม่เคยละทิ้งความฝันและไม่เคยสิ้นศรัทธากับความจริงใช้เวลาใน การเรียนวิชากับหลวงพ่อจันเป็นเวลาถึง ๔ ปี จึงได้กราบลาหลวงพ่อจันออกธุดงค์ต่อไปยังภาคเหนือ  

หลวงปู่เล่าว่าตลอด เส้นทางเต็มไปอันตรายและตัวท่านเองก็มักจะพบกับสิ่งประหลาดๆต่างๆมากมาย แต่มันก็ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้ท่านต้องหยุดตามหาความฝันของท่าน

จนครั้งหนึ่งท่าน เกิดไม่สบายและออกอาการน่าเป็นห่วง หมอที่จะมารักษาหรือยาที่จะนำมาฉันก็ไม่มีเพราะในป่าที่ท่านอยู่ไม่มีโพลี คลินิกอย่างในเมือง ท่านว่าต้องใช้ “ธรรมโอสถ” เข้ามาระงับ ได้ผลครับสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีขึ้นพร้อมกับความแข็งแกร่งของสมาธิที่ติดตามมา 

ท่านว่า “ธรรมโอสถ” นี่สำคัญนัก เพราะนอกจากท่านจะไม่สบายและหายป่วยได้จากไข้ป่าแล้ว ในชีวิตของท่านเคยป่วยเป็นโรคมะเร็งถึง ๒ ครั้งแต่เมื่อท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ระงับเวทนา พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานถึง “ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์” ท่านก็สามารถหายได้ทั้งสองครั้ง

ให้นับถือคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง..” 

ถึงตอนนี้ลูกศิษย์ของท่านกระซิบบอกพวกเราว่า หลวงปู่เป็นพระที่ทำของขลัง ได้ขลังจริงสมชื่อ

สมัย ที่ท่านอยู่จังหวัดลำพูนเคยมีการทดสอบความขลังของท่านโดยการใช้เข็มฉีดยาแทง ลงไปบนแขนของผู้ทดสอบ ปรากฏว่าแทงกันจนเข็มงอแต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้นอกจากความเจ็บปวดจากการ โดนแทง  

หลวงปู่ดีท่านยิ้มแทนคำตอบรับพร้อมกับบอกพวกเราด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า

อย่าได้ไปเชื่ออะไรง่ายๆ ฟังหูไว้หู เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ คนเราตื่นตัวดีกว่าตื่นข่าว

อิทธิฤทธิ์ ทางศาสนาของเราสอนให้เชื่อ แต่พวกเรื่องฤทธิ์เดชอย่าไปเชื่อเลย มันเสียเวลา

สิ่งที่จะอำนวยประโยชน์สุขอย่างแท้จริงคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อันไหนเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเชื่อได้....” 

ได้ใจครับ คนกระซิบรีบหลบหน้า คนนั่งฟังแอบอมยิ้ม.... 

เป็นความจริงครับ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงด้วยตัวของพระองค์เอง แต่ขณะเดียวกันท่านก็ทรงสั่งสอนว่าไม่ให้เชื่อใครแม้แต่ตัวของพระองค์เองที่ ทรงค้นพบ 

แต่ ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์สมัยพุทธกาลของเรา เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช แล้วก็ออกเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ เป็นเวลานานมากครับกว่าที่พระองค์จะทรงนั่งลงที่โคนต้นไม้และใช้วิธี “ทางสายกลาง” จนสามารถค้นพบศาสนาพุทธด้วยตัวของพระองค์เอง จากนั้นพระองค์ทรงเสด็จออกโปรดสัตว์ สั่งสอนผู้คนให้ค้นพบความจริงด้วยตัวของตัวเอง 

แต่ระดับมันสมองอนุบาลอย่างพวกเรา เอาแค่ว่า “ทฤษฏีหรือหลักการ” อะไรสักอย่าง กว่ามันจะคลอดออกมาได้ มันต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ พิสูจน์ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนมันเป็นจริงขึ้นมา 

นี่ว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์

ศาสนาของเราก็เช่นกันครับ ที่ต้องผ่านการ “ปุจฉา” และ “วิสัชชนา” มานานขนาดไหนกว่าจะได้ข้อยุติที่ว่า “พระธรรมคำสั่งสอนคือความจริง” 

ถามใจตัวเองครับ อย่างนี้เรียกว่าศาสนาวิทยาศาสตร์ได้ไหม...

สำหรับ พวกเราตามหลักการ ปากก็ต้องบอกว่าไม่เชื่อ เพราะนี่คือคำสั่งสอนของพระองค์ แต่ถ้ามองลึกไปในร่างกาย หัวใจมันบอกว่าเชื่อสุดใจครับ เพราะว่ากว่าพระพุทธเจ้าของเราจะทรงค้นพบ พระองค์ทรงผ่านการพิจารณาเรื่องราว ผู้คนและตนเองมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร 

มีคำกล่าวว่า... 

การมีเรือแข่งที่ดีและนำชัยชนะมาให้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยทีมฝีพายที่ลงแรงพร้อมกันเป็นหนึ่ง...” 

เช่น เดียวกันครับ การจะเป็นผู้ที่มีสมาธิจิตดี ต้องใช้เวลาการฝึกอยู่มิใช่น้อย แต่การที่จะฝึกให้ได้ดีต้องมีความรู้ที่หนักแน่นพอมารองรับ.... 

หลวง ปู่เล่าว่าด้วยความที่ท่านมีอุปนิสสัยชอบความสันโดษ ท่านจึงได้ออกธุดงค์แสวงหาความสงบ ฝึกสมาธิภาวนาไปเรื่อยๆ จนเข้าไปสู่ประเทศพม่า  

สำนักที่ท่านไปขอเรียนกรรมฐาน ใช้หลักปฏิบัติให้รู้สึกตัวใน “อิริยาบถสี่” คือ “ยืน นั่ง นอน เดิน” ฝึกอย่างหยาบ อย่างกลางและอย่างละเอียดขึ้นไปจนถึงขั้นการ “สร้างสติ” คือ “ความระลึกได้รู้เอง

 

 
โดย : kotaro2011    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 4 ] Tue 3, Jul 2012 12:10:43

 

คุณธรรมหรือความดีที่คนเราควรประพฤตินั้น “สติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด....

กล่าวคือ “สติหมายถึงความระลึกได้และความรู้สึกตัวอยู่เสมอ  

ดังนั้นการมีสติจะเป็นการช่วยทำให้เรามีการพูด คิดและดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบ”  

ท่านว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเวลาฝึกปฏิบัติ กิเลสมักจะมาจับ พอตั้งกรรมฐานเข้าต่อสู้ เจ้าตัวกิเลสมันก็จะหายไป

อุปมาดั่งการทิ้งก้อนหินลงในน้ำ พอเราขว้างก้อนหินลงไป...น้ำก็จะแหวกออกจากกัน สักพักน้อยเดียวน้ำนั้นก็จะกลับเข้ามาเต็มแบบเดิม...เพราะเหตุนี้สติจึงมีความสำคัญ

คน เรานะครับไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน ล้วนแล้วแต่ต้องมีสติ เช่นถ้าเราขาดสติในการนั่ง เราอาจจะเผอเรอไปนั่งบนเก้าอี้ที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดก็ได้ หรือเราขาดสติในการนอน ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการนอนไม่หลับ เป็นต้น

เมื่อ เรากำลังจะนอนก็ต้องกำหนดว่าเรากำลังจะนอน ใช้สติสัมปชัญญะเข้าดูแลตัวเองในการนอน เมื่อมีสติในการนอน ก็จะนอนไม่ตกเตียง ไม่ตกหมอน

การทำทุกอย่างด้วยความมีสตินี่แหละ มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์

พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้พวกเราศึกษาในเรื่องการมีสติเพื่อพัฒนาตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะในอิริบยาบถสี่ ชีวิตจึงจะไม่มีอันตราย...” 

ว่ากันว่า “ความโกรธ ละได้ด้วย การเจริญเมตตา ความอยาก ละได้ด้วย การบริจาค โมหะ ละได้ด้วย ปัญญา...”

สมัยก่อนหลวงปู่ติดบุหรี่ ก็ละบุหรี่ได้ ชอบดูมวย ก็มาละไม่ดูมวย พอเลิกได้ก็ยกโทรทัศน์ให้เขาไปเลย เหลือแต่วิทยุไว้ฟังข่าว...” 

เวลา มีเรื่องราวมากระทบใจเราหนักๆ เราจะต้องหัดนิ่ง ไม่ด่า ไม่โกรธ การที่เรานิ่งได้มันก็ไม่ใช่ว่าจะดับได้ การจะดับเรื่องพวกนี้ได้ต้องใช้ปัญญาเข้าไปตัด” 

เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ “ปัญหามา ปัญญาเกิด” แต่สำหรับหลวงปู่ดี ท่านว่าบางที”ปัญหามาเล่นเอาปัญญาเกือบดับ”....เรื่องนี้มีความเป็นมาครับ 

เรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว.....

สมัย ก่อนตอนที่ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง ท่านชอบรับนิมนต์ไปเทศนาสั่งสอนนักโทษในเรือนจำ ท่านว่านักโทษพวกนี้เป็นคนฉลาดในทางโลก เราจะประมาทพวกเขาไม่ได้ เพราะตัวของหลวงปู่เองยังโดนนักโทษพวกนี้สอยกลับมาแล้ว เหตุเกิดจากมีนักโทษคนหนึ่งถามท่านว่า 

โลกของเรานี้มีความทุกข์กี่แบบ” 

ท่านตอบว่ามีหลายแบบ แต่เราสามารถเรียกรวมกันว่า

ทุกข์เวทนา”  

ครั้นพอท่านย้อนถามเขาว่า “แล้วทุกข์ของโยมล่ะมีกี่แบบ” คำตอบที่ท่านได้รับ เล่นเอาท่านนั่งงงไปพักใหญ่ เพราะนักโทษคนนั้นตอบว่ามีสามแบบคือ 

ทุกข์แขน ทุกข์ขาและทุกข์ขัง” 

คำอธิบายความของนักโทษในวันนั้น ทำให้ท่านต้องจดจำมาถึงทุกวันนี้ 

ทุกข์แขน เพราะแขนโดนใส่กุญแจมือ

ทุกข์ขา เพราะขาโดนใส่โซ่ตรวน

ส่วนทุกข์ขัง เพราะเขาโดนขังลืม

ท่าน ว่าได้ฟังคำตอบของนักโทษแล้วต้องยิ้ม คิดในใจว่าใครหนอว่าคนเหล่านี้ไม่มีความคิด ความจริงแล้วความคิดของเขามีอยู่มากมายเพียงแต่ขาดสิ่งที่จะเข้ามานำแนวทาง ของความคิดให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น 

นี่ แหละครับคือจุดพบกันระหว่างโลกสองใบ ใบหนึ่งคือโลกของมนุษย์ในเรือนจำ กับอีกโลกหนึ่งคือโลกแห่งพระธรรม ถึงทั้งสองโลกนี้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มันก็สามารถกอดคอเดินร่วมทางกันไปสู่จุดหมายได้ เพราะสุดท้ายของการเทศนาจบลงด้วย 

ความศรัทธาของนักโทษที่เคยบวชเป็นพระ” และ “การรู้จักละโมหะของพระที่ไม่เคยเป็นนักโทษ...” 

พวกเรานึกสนุกเลยถามหลวงปู่ว่าแล้วโลกเราที่ร้อนอยู่ทุกวันนี้จะแก้ไขได้อย่างไร

โลกเราที่ร้อนอยู่ทุกวันนี้เกิดจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง หากเราตัดพวกนี้ได้ ชีวิตก็จะดีขึ้น” 

หลวงปู่ครับ เพื่อนผมคนนี้มันอกหัก...

วิธีการแก้อกหัก คือการหักอก หักอกหักใจจากสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์ของความรักเกิดจากความไม่สมหวัง

เราไม่ควรมองว่าความรักคือการสมหวัง แต่ควรมองว่าเราวางความสมหวังของความรักไว้ตรงไหน” 

ครับ ถึงคำตอบจะไม่ตรงใจคนเจ็บ แต่มันก็เป็นคำสอนที่น่ารักจริงๆ ฟังแล้วเห็นสัจธรรมของคำว่าความรัก พวกเราได้แต่ปลอบใจเพื่อนว่า  

เอาน่า..เสียน้ำตาบูชาครู  คงไม่ทำให้ชีวิตติดลบสักเท่าไร” 

ปัจจุบันหลวง ปู่ดี ธมมธีโร ท่านจะมีสิริอายุถึง ๘๘ ปีแล้วครับ ตลอดชีวิตของท่านผ่านการเดินธุดงค์มานานกว่า ๓๖ ปี กิตติคุณในด้านวิทยาคมของท่านเป็นที่นับถือของศิษยานุศิษย์และบรรดาพระเกจิ อาจารย์ในจังหวัดอ่างทอง

ถึงวัตถุมงคลของท่านจะมีประสบการณ์มากมายแต่ท่านก็ไม่เคยสอนให้พวกเรายึดติดกับสิ่งเหล่านั้น

 
โดย : kotaro2011    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 5 ] Tue 3, Jul 2012 12:12:34

 
หลวงปู่ดี อาพาธ ช่วยทำบุญร่วมกับท่านครับ : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.