พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
โชว์พระเกจิอาจารย์ล้านนา

รูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบุพพาราม " ปลุกเสกโดย ๙ คณาจารย์ " **จังหวัดเชียงใหม่**


รูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบุพพาราม " ปลุกเสกโดย ๙ คณาจารย์ "  **จังหวัดเชียงใหม่**


รูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบุพพาราม " ปลุกเสกโดย ๙ คณาจารย์ "  **จังหวัดเชียงใหม่**

   
 
 
     
โดย : พระช้างเผือก   [Feedback +37 -0] [+0 -0]   Sun 3, Jul 2011 22:53:48
 








 
รูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ๕ มีนาคม ๒๕๒๘ วัดบุพพาราม
ปลุกเสกโดย ๙ คณาจารย์ จังหวัดเชียงใหม่

 (เนื้อ นวะโลหะ )


วัดบุพพาราม

วัดบุพพาราม เป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนท่าแพ ต.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อยู่ในย่านแหล่งท่องเที่ยวและขายสินค้าที่ระลึก เป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ มีหอพระมณเฑียรธรรม ซึ่งสร้างถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ

ประวัติ

วัดบุพพาราม หรือ วัดเม็ง มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดอุปปา ตั้งอยู่เลขที่ ๑๔๓ ถนนท่าแพ ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ ๔ ไร่ ๓ งาน ๒๙ ตารางวา วัดบุพพารามสร้างขึ้นในสมัยพญาเมืองแก้ว กษัตริย์ล้านนาลำดับที่ ๑๒ ราชวงศ์มังราย ( ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๓๙ – ๒๐๖๘ ) ในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวถึงการสร้างบุพพารามว่า พระเจ้าติลกปนัดดาธิราช
( ราชนัดดาของพระเจ้าติโลกราช คือ พญาเมืองแก้ว ) หลังจากที่ได้ราชาภิเษกแล้ว
ในปีที่ ๒ ทรงโปรดให้สร้างอารามขึ้นอารามหนึ่งในหมู่บ้านที่พระราชอัยกา ครั้งเป็นยุพราชและพระบิดาของพระองค์เคยประทับมาก่อนเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง จุลศักราช ๘๕๘ โดยพระองค์ตั้งชื่ออารามนั้นว่า บุพพาราม แปลว่าอารามตะวันออก

ทั้งนี้ โดยถือเอานิมิตว่าได้ตั้งอยู่ทางทิศบูรพาแห่งนพีสีราชธานี ซึ่งเป็นตำแหน่ง “ มูลเมือง ” ตามคัมภีร์มหาทักษา ต่อ มาในปีที่ ๓ ของการครองราชย์ ( ปีมะเมีย ) พระญาเมืองแก้วทรงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้นองค์หนึ่ง ท่ามกลางมหาวิหารในอารามแห่งนั้น เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเงิน

พอย่างเข้าปีที่ ๔ แห่งการครองราชย์ พญาเมืองแก้วทรงฉลองพระไตรปิฎกฉบับลงทองขมุศิลปะแบบล้านนา พร้อมกับหอมณเฑียรธรรมซึ่งโปรดให้สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังและประดับตกแต่ง อย่างประณีตสวยงามเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎกนอกจากนี้ยังมีการฉลอง กุมารารามซึ่งพระนางสิริยสวดีราชเทวีพระราชชนนีของพระองค์ ได้สร้างไว้ที่พระราชมณเฑียรอันเป็นสถานที่ประสูติของพญาเมืองแก้วในครั้ง เดียวกันนั้นเอง

ในปีจุลศักราช ๘๖๖ ( พ.ศ. ๒๐๔๗ ) ปีฉลู เดือน ๘ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๑ ค่ำ พญาเมืองแก้วทรงรับสั่งให้ทำการหล่อมหาพุทธรูปไว้ ณ วัดบุพพาราม ๑ องค์ ต่อมา ในปีขาลเดือน ๕ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ มีการหล่อพระมหาพุทธรูปด้วยทองแดงล้วน
น้ำหนัก ๑ โกฏิ ซึ่งมีสนธิ ๘ แห่ง หรือข้อต่อ ๘ แห่ง ใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น ๕ ปี คือ
สำเร็จในปี จ.ศ. ๘๗๑ เดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ วันพุธ โดยมีการฉลองอย่างใหญ่โตและได้รับการประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ ปัจจุบันนี้ คือ พระประธานในวิหารของวัดบุพพาราม

จากนั้น วัดบุพพาราม ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๐๗๐ สำหรับ อาณาเขตของวัดตามตำนานไม่ได้กล่าวไว้ว่ามีเนื้อที่เท่าใด จากการค้นคว้าข้อมูลของพระพุทธิญาณเจ้าอาวาสวัดบุพพารามในปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๓๙ ) ประกอบกับคำให้สัมภาษณ์ของผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ใจความว่าวัดอุปารามหรือบุพพารามมีเนื้อที่กว้างขวางมาก ทิศตะวันออกจดคลองแม่ข่าทิศตะวัดตกจดวัดมหาวัด อย่างไรก็ดี ปัจจุบันวัดบุพพารามหรือบุพพรามมีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๓ งาน ๒๙ ตารางวา ทิศเหนือติดกับถนนท่าแพ มีเนื้อที่ ๒ เส้น ๑๓ วา ทิศใต้ติดบ้านของเอกชน มีเนื้อที่ ๒ เส้น ๔ วา ทิศตะวันตกติดกับถนนท่าแพ ซอย ๒ ร่มโพธิ์ มีเนื้อที่ ๒ เส้น ๑๙ วา

ความสำคัญของวัดบุพพาราม คือ เคยเป็นที่สถิตของ พระมหาสังฆราชปุสสเทวะ และนอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมมา สัมพุทธเจ้า อีกทั้งมีประเพณีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุในวันเพ็ญเดือน ๖ เหนือ ( เดือน ๔ ภาคกลาง ) ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ประจำทุกปี ปูชนียสถานที่สำคัญของวัดบุพพาราม ได้แก่


๑ . พระวิหารหลังเล็ก ซึ่ง เป็นวิหารเครื่องไม้ศิลปะแบบล้านนา เจ้าหลวงช้างเผือกธรรมลังกาโปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๒ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไชยลาภประสิทธิโชค ( พระประธาน ) ซึ่งก่อด้วยอิฐถือปูน หน้าตักกว้าง ๗ ศอก สูง ๙ ศอก เดิมวิหารหลังนี้มีอยู่ ๓ มุขด้วยกัน คือ มุขหน้าหันไปทางทิศเหนือ มุขหลังหันไปทางทิศใต้ และมุขข้างหันไปทางทิศตะวันออก สำหรับวิหารหลังปัจจุบัน เป็นศิลปกรรมแบบล้านนา ด้านในประดิษฐานพระประธาน ๒ องค์ องค์หนึ่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ ก่อด้วยอิฐและปูน หน้าตักกว้าง ๗ ศอก สูง ๙ ศอก ได้รับการประดิษฐาน ณ วิหารหลังนี้มาโดยตลอดพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปทองเหลือง หันหน้าไปทางทิศใต้ ( หันหลังให้กับองค์แรก ) ภายหลังเมื่อวิหารหลังเล็กได้รับการดัดแปลงแก้ไขในสมัยครูบาหลานหรือ ครูบาอินต๊ะพระพุทธรูปองค์นี้จึงได้รับการเคลื่อนย้ายไปประดิษฐานบนวิหาร หลังใหญ่ ต่อมาเจ้าแม่ทิพผสม ณ เชียงใหม่ ได้ทำการบูรณะวิหารหลังเล็ก เมื่อประมาณปี พ . ศ . ๒๔๔๕ ปีขาล ปัจจุบันวิหารหลังเล็กนี้กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วล่าสุด พระพุทธิญาณ เจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดองค์ปัจจุบันได้ทำการบูรณะซ่อมแซมในรูปเดิมและ เสริมในบางส่วน คือ ปั้นมอม ( สัตว์หิมพานต์ ) ๒ ตัว ไว้ที่บันได รวมทั้งบานประตูใหญ่ของวิหารซึ่งปั้นปูนเป็นเทพพนม

๒ . พระวิหารหลังใหญ่
เป็นพระวิหารศิลปกรรมล้านนาซึ่งได้รับการประดับตกแต่งลวดลายปูนปั้นแบบพม่า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหาปฏิมากร ศิลปกรรมล้านนาซึ่งหล่อด้วยทองแดงล้วนมีน้ำหนัก ๑ โกฏิ และสนธิ ( ต่อ ) ๘ แห่ง และมีพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนขนาบซ้ายขวาอีก ๒ รูป โดยหล่อด้วยทองสำริดทั้งคู่ภายในวิหารมีภาพเขียนพุทธประวัติและพระมหา เวสสันดรชาดก ซี่งเขียนด้วยสีฝุ่น ประวัติของวิหารหลังใหญ่เท่าที่ทราบ คือ พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์หรือเจ้าชีวิตอ้าว เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้บูรณะโดยเปลี่ยนเสาเดิม คือ ท่านได้รื้อหอเย็นในคุ้มหลวง แล้วนำเสาเหล่านั้นมาทำเป็นเสาพระวิหาร ต่อมาในสมัยของครูบาหลาน ( อินต๊ะ ) พร้อม ด้วยญาติโยมได้ทำการบูรณะพระวิหารขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น พระครูอุดมกิตติมงคลเจ้าอาวาสได้พยายามปรับปรุงเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นการ เปลี่ยนบานประตูใหญ่ - เล็กและแกะสลักให้สวยงามแบบศิลปะล้านนา

๓ . พระอุโบสถ ตามที่สอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ได้ความว่าเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา คฤหปตานี
“ คุณแม่วันดี สุริยา ” เป็น ผู้ปฏิสังขรณ์ โดยทำซุ้มโขงให้เป็นศิลปะล้านนาผสมมอญ อนึ่ง พระอุโบสถหลังนี้มีขนาดเล็กและไม่มีใบเสมาเป็นเครื่องหมายเหมือนอุโบสถที่ สร้างขึ้นในปัจจุบันแต่จะใช้ก้อนหินหรือเสาหินทรายแดงเป็นนิมิตในการผูก ลูกนิมิตเพื่อแสดงเขตของพัทธสีมาซึ่งมีความกว้าง ๕ เมตร และยาว ๒๐ เมตร ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสิงห์หนึ่งศิลปะเชียงแสนซึ่งเป็น พระประธานและพระพุทธรูปปูนปั้นก่อด้วยอิฐอีก 2 องค์ ซึ่งเป็นของโบราณ

๔. พระเจดีย์ ศิลปะ ล้านนา เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามตำนานขององค์พระเจดีย์กล่าวว่า พระญาเมืองแก้วสร้างพระเจดีย์ขึ้นใน ปี จ.ศ.๘๗๒ ปีมะแม โดยมีความกว้างประมาณ ๑๒ ศอก สูงประมาณ ๓๐ ศอก ปิดด้วยทองทั้งองค์ ในครั้งนั้น คณะสงฆ์ และเหล่าศรัทธาต่างเปลื้องอาภรณ์เครื่องประดับเป็นเครื่องบูชาเพื่อเป็นบุญ กุศลและเป็นการถวายทานแด่พระพุทธศาสนา การก่อสร้างใช้เวลารวม ๓ เดือนจึงสำเร็จ โดยขณะที่การก่อสร้างดำเนินอยู่นั้นมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายประการ อนึ่ง การบูรณะองค์พระเจดีย์โดยหลวงโยนวิจิตร (หม่อนตะก่า อุปโยคิน) คือ ท่านได้สละทรัพย์สินส่วนตัวเสริมสร้างองค์เจดีย์ทั้งองค์ในปี จ.ศ.๑๒๖๐ (พ. ศ.๒๔๔๑) โดยเปลี่ยนรูปทรงเจดีย์ใหม่ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน ขยายฐานให้กว้าง ๓๘ ศอก ความสูง ๔๕ ศอก มีฉัตรขนาดเล็กจำนวน ๔ ฉัตร รวมทั้งมีต้นดอกไม้เงิน-ดอกไม้ทอง อย่างละ ๔ ต้น และมีฉัตรขนาดใหญ่ตรงยอดสูดขององค์เจดีย์ ๑ ฉัตร พิธียกฉัตรมีขึ้นในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ปลายปี พ.ศ.๒๔๔๑ ต่อ มา ในปี พ.ศ.๒๔๙๙ พระพุทธิญาณ (เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน) ได้ย้ายมาจากวัดเชตวันและได้ทำการบูรณะองค์พระเจดีย์อีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มลงมือบูรณะในวันพฤหัสบดีแรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู จ.ศ.๑๓๒๓ ตรงกับวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๔ สำเร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๕ ตรงกับเดือน ๕ ขึ้น ๑๐ ค่ำ วันพฤหัสบดี รวมเวลาที่ทำการบูรณะ ๔ เดือนกับอีก ๖วัน

๕. บ่อน้ำทิพย์ เดิมเป็นบ่อน้ำในพระราชอุทยานของพระเจ้าติโลกราช มีมาก่อนการสร้างวัดบุพพาราม (จ.ศ.๘๕๔) เมื่อพระเจ้าติลกปนัดดาธิราช (พระ เมืองแก้ว) ได้ทรงสร้างพระอารามขึ้นในพระราชอุทยาน ได้ใช้น้ำในบ่อนี้เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สรงพระบรมสารีริกธาตุ ปัจจุบันทางราชการใช้น้ำในบ่อนี้ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์บ่อหนี่ง ในจำนวนบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วราชอาณาจักร เพื่อใช้ในพิธีสำคัญ ๆ เช่น ในพระราชพิธีพุทธาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในวาระครบ ๕ รอบ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ หรือเมื่อครั่งเจ้าอินทวโรรส เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ราชวงศ์มังรายได้อาราธนาพระบรมธาตุเจ้าศรีจอมทองมายังวัดบุพพารามเพื่อให้ ประชาชนได้สรงน้ำทำการสักการะในวันเพ็ญเดือน ๔ ใต้ เดือน ๖ เหนือ และในปัจจุบัน ประเพณีการสรงน้ำพระบรมธาตุวัดบุพพารามยังดำเนินอยู่เป็นประจำทุกปี

๖. หอพระมณเฑียรธรรม เป็น มณฑปปราสาทจัตุรมุขทรงล้านนา ๒ ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ สำเร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๕๓๘ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดชมหาราช ทรงพระราชทานนามว่า “ พระพุทธบุพพาภิมงคล ภปร. ” และ พระพุทธนเรศร์สักชัยไพรีพินาศ แกะด้วยไม้สักทั้งองค์ สำหรับชั้นล่างจัดเป็นห้องสมุดศูนย์วัฒนธรรมท้องถิ่นล้านนาเพื่อรวบรวมวัตถุ โบราณของพื้นเมืองต่าง ๆ

๗. วิหารพระเจ้าทันใจ ไม่ ปรากฏวันเดือนปีที่สร้างอย่างแน่ชัด แต่จากการสอบถามผู้สูงอายุได้ความว่าพ่อน้อยสุข สุขเกษม พร้อมด้วยลูกหลานเป็นศรัทธาถวายพร้อมพระเจ้าทันใจ โดยใช้เวลาสร้างเพียงวันเดียวและทำการฉลองสมโภชพร้อมทั้งเจริญพระพุทธมนต์ อายุการก่อสร้างประมาณ ๑๔๐-๑๕๐ ปี นับว่าเป็นของเก่าแก่คู่กับวัดอีกอย่างหนึ่งภายในวิหารพระเจ้าทันใจ เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจและพระประจำวันเกิด ๘. วิหารครูบาศรีวิชัย ภายในประดิษฐานรูปปั้นของครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้วัดบุพพารามเป็นโบราณสถานตั้งแต่วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๒ วัดนี้เจ้านายฝ่ายเหนือเป็นผู้ทำนุบำรุงมาโดยตลอด

มอม ที่พระวิหารหลังเล็กสัดส่วนงดงามมาก

มอม เป็นสัตว์ในตำนานที่มีรูปร่างคล้ายแมวผสมสิงโต มอมเป็นพาหนะของเทพปัชชุนนะเทวบุตร (เทพเจ้าแห่งฝนในคติล้านนา) สามารถพบเห็นได้ตามบันไดวัดหรือศาสนสถานทางแถบล้านนา ลักษณะ รูปร่างคล้ายแมวผสมสิงโต ช่างปั้นบางครั้งก็ปั้นให้ดูคล้ายตุ๊กแกหรือค่าง ลักษณะของศิลปะนั้นได้รับอิทธิพลจากจีน

ที่มา : www.chiangmai-thailand.net

 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 1 ] Sun 3, Jul 2011 22:54:34





 
สวยดีครับ  ใด้ความรู้ด้วย
 
โดย : samran    [Feedback +121 -1] [+0 -0]   [ 2 ] Sun 3, Jul 2011 23:02:13





 
 
โดย : Dear shop    [Feedback +1 -0] [+0 -0]   [ 3 ] Mon 4, Jul 2011 07:03:09





 
 
โดย : พิฆเนศ    [Feedback +2 -0] [+0 -0]   [ 4 ] Mon 4, Jul 2011 08:03:57

 

 พระองค์นี้ท่านได้มาอย่างใด ฤ

 
โดย : น้ำปิง    [Feedback +70 -0] [+0 -0]   [ 5 ] Mon 4, Jul 2011 10:43:14

 
อิอิอิ !!!!
 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 6 ] Wed 6, Jul 2011 11:45:06

 
  ขอบคุณค๊าฟ ที่เข้าเยี่ยมชม
 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 7 ] Wed 6, Jul 2011 11:45:42

 
รูปเหมือนพระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบุพพาราม " ปลุกเสกโดย ๙ คณาจารย์ " **จังหวัดเชียงใหม่** : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.