พระสุธรรมยานเถร(ครูบาอินทจักรรักษา) มีนามเดิมว่า อินถา นามสกุล พิมสาร
เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๓๙ ตรงกับแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๑
ปีวอก ณ บ้านป่าแพ่ง ตำบลแม่แรง อำเภอปากบ่อง (คืออำเภอป่าซางในปัจจุบัน)
จังหวัดลำพูน
ท่านครูบาอินทจักรรักษา เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเป็นเด็กที่มีอุปนิสัย ขยัน
รักสงบ มีความกตัญญูกตเวที ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของบิดามารดา เช่น
ช่วยทำงานในไร่นาที่พอจะช่วยได้ทุกอย่าง เลิกงานจากทำนาก็จะเข้าสวน พรวนดิน
เลี้ยงวัวควาย งานบ้านที่ทำส่วนมากได้แก่การตักน้ำตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง
ซึ่งเป็นการดำรงชีวิตของชาวชนบทในอดีต
หลังจากนั้นก็จะกวาดบ้านถูบ้านดูแลน้อง ๆ
เพราะพี่ที่โตกว่าต้องทำงานช่วยพ่อแม่
หลังจากที่มีการเปิดโรงเรียนประชาบาลขึ้น
สามเณรอินถาจึงเกิดความคิดที่จะเรียนต่อ ได้เข้าไปเรียนพระอุปัชฌาย์ให้ทราบ
พระอุปัชฌาย์เห็นความเจริญก้าวหน้าจึงอนุญาต
จึงได้เข้าเรียนเพิ่มเติมจนจบชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๓
ซึ่งเทียบเท่าชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ในปัจจุบัน
โดยได้เดินทางมาเรียนที่วัดดอนแคร (วัดจีน)
ปัจจุบันเป็นโรงเรียนช่องฟ้าซินเซิง จังหวัดเชียงใหม่
และได้เรียนวิชาสามัญพื้นฐานเพิ่มเติมด้วย เช่น ภาษาอังกฤษ บัญชี ลูกคิด
เป็นต้น ในปี พ.ศ.๒๔๕๗ การศึกษาในโรงเรียนขณะนั้น
เป็นการศึกษาเล่าเรียนที่ค่อนข้างลำบากยากเข็ญ
เพราะขณะนั้นมีครูสอนในโรงเรียนน้อย การสอนจึงไม่ทั่วถึงแก่ทุกคน
ประกอบกับอุปกรณ์ในการเรียนการสอนก็มีไม่เพียงพอ
ถ้านักเรียนไม่มีความอุตสาหะ เพียกเพียรพยายาม
ย่อมไม่สามารถประสบผลสำเร็จได้
การอุปสมบท
เมื่อท่านครูบาอายุครบ ๒๐ ปี
เกิดความคิดขึ้นว่า “ในบัดนี้อายุกาลของเราครบบวชแล้ว
ควรจะเดินทางกลับไปอุปสมบทที่ภูมิลำเนาเดิม ณ วัดป่าเหียง ต.แม่แรง
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๙ ปีมะโรง (พ.ศ.๒๔๕๗ – ๒๔๖๑
เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑) โดยมี พระอธิการแก้ว ขตฺติโย
(พระขัตติยะคณะวงษา) เจ้าอาวาสวัดป่าเหียงเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระฮอม โพธาโก
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ มีพระสม สุรินฺโท เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ทั้งสองรูปนี้อยู่วัดป่าเหียงเช่นกัน ได้ฉายาว่า อินฺทจกฺโก
หลังจากอุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว
ท่านครูบาได้ช่วยทำงานและเป็นธุระในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กับพระ
อุปัชฌาย์หลายประการ
ทั้งนี้เพราะท่านครูบามีความรู้ทั้งทางคดีโลกและทางคดีธรรมทั้งปริยัติและ
ปฏิบัติ
เมื่อท่านครูบาอินทจักรรักษา
ปฏิบัติธรรมจนเกิดดำริในการออกเดินธุดงค์แล้วก็บังเกิดความปลื้มปิติขึ้นมา
ท่านครูบาจึงน้อมจิตไปในการประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อตนเอง
เป็นขณะเดียวที่พระน้องชาย คือ ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก
ก็ได้ออกธุดงค์อยู่ในเขตอำเภอป่าซาง และอำเภอจอมทอง ในปี พ.ศ.๒๔๖๒
ซึ่งขณะนั้นท่านมีพรรษาได้ ๓ พรรษา
ท่านครูบาได้ขออนุญาตพระอุปัชฌาย์ออกเดินธุดงค์กับพระน้องชาย
ซึ่งพระอุปัชฌาย์ได้อนุโมทนาพร้อมทั้งอนุญาตให้ออกเดินธุดงค์
ออกธุดงค์
การเดินธุดงค์ในภาคเหนือตอนบนนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก
เพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่๒ เป็นปีที่ข้าวยากหมากแพง
ถึงกระนั้นท่านครูบาก็ยังสู้อดทนตามเจตนาที่ตั้งไว้เพื่อการปฏิบัติธรรม
การเดินธุดงค์ไปในถิ่นต่าง ๆ ในขณะนั้นจึงไม่ใช่ของที่กระทำได้ง่าย
เพราะมีอุปสรรคมากมาย
แต่ต้องกระทำด้วยความตั้งใจจริงและจะต้องใช้ความอดทนอย่างสูงมาก
ขณะเดินธุดงค์ต้องต่อสู้กับความยากลำบากมากมาย
แต่ท่าครูบาก็หาได้ย่อท้อต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากและปัญหา
ท่านครูบาจะรำลึกถึงการที่พระพุทธองค์ทรงแสวงหาสัจธรรม
ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท่านประสบในตอนนี้เทียบกันไม่ได้เลย
จึงพยายามเตือนสติตนเองเสมอว่า “พระพุทธองค์มิยิ่งไปกว่านี้หรือ
พระองค์ต้องสลบไปกี่ครั้ง เพราะต้องทรมานพระวรกายจนดูน่าสมเพช
พระวรกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ซึ่งเราก็ได้ดูในรูปที่เขาปั้นเอาไว้
เห็นหรือเปล่า เราเองปฏิบัติตามพระองค์บ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ขณะที่ท่านครูบาปฏิบัติภาวนาอยู่ในป่าดง ยุงป่า ริ้น ตอมกัดอยู่ตลอดวัน
ใบหน้าบวมชาก็ต้องทนเอาบ้าง
ส่วนกลางคืนได้ยินเสียงร้องของสัตว์ป่าที่เดินอยู่ใกล้ ๆ บริเวณจุดพักนั้น
เป็นจำพวกเสือกำลังออกหากิน สภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลงได้ฉับพลัน
ถึงฤดูหนาวอากาศหนาวก็หนาวจับหัวใจ ถึงฤดูร้อนก็ร้อนมาก
เพราะใบไม้ร่วงหมดจนไม่มีที่หลบแสงแดด มิหนำซ้ำยังมีไฟป่าอีกด้วย
ในฤดูฝนก็หาที่พักยาก บางครั้งต้องนั่งภาวนากลางสายฝน
เปียกน้ำฝนตลอดทั้งตัว ส่วนจีวรชุ่มน้ำและเปื้อนดินจนเกือบยกไม่ขึ้น
เคยมีผู้แย้งข้อปฏิบัติกรรมฐานแบบท่านครูบาว่า “ทำไมจะต้องไปทรมานตัวเองถึง
ขนาดนั้น วัดก็มีอยู่ อู่ก็มีนอน อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์
ไม่น่าออกธุดงค์ทรมานตนเองเช่นนั้น ป่าดงพงไพรมันเป็นที่อยู่ของสัตว์
ทำไปแล้วเหมือนกระรอกกระแต”
ท่านครูบาได้กล่าวตอบว่า “ขอเป็นกระรอกกระแตอยู่ป่าดงพงไพรมุ่งแสวงหาความ
สงบ ดีกว่าไปเป็นตุ๊ดตู่อุดอู้ไม่รู้ภัยจะมาถึงตัวเมื่อไหร่
การกระทำเช่นนั้นก็เพื่อความรู้เห็นสัจธรรมเท่านั้น”
ตลอดเส้นทางที่เดินธุดงค์ ท่านครูบาอาศัยชาวป่าชาวเขาถวายอาหาร
บิณฑบาตเพื่อประทังชีวิตไปวัน ๆ บางครั้งก็ไม่ได้อาหารใด ๆ เลย
จนทำให้บางคราวไม่ได้ฉันอาหารหลายวัน บางทีได้ข้าวไม่ได้กับข้าว
ได้แต่พริกก็ต้องฉันข้าวกับพริก
แม้แต่ได้กล้วยผลเดียวก็สามารถประทังชีวิตไปได้วันหนึ่ง
อาหารบิณฑบาตประทังชีวิตจึงไม่แน่นอน
ท่านครูบาเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ท่านธุดงค์ถึงที่ไหนก็ตาม
จะระลึกถึงคุณของโยมที่ให้อาหาร น้ำดื่ม และความห่วงใยแก่ท่าน
ดังนั้นสิ่งที่จะตอบแทนแก่โยมเหล่านั้นก็คือ การแสดงคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นการตอบแทนที่บริสุทธิ์กว่าวัตถุอื่นใดในโลก
ท่านจะทำอย่างนี้อยู่เสมอมิได้ขาด
ธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของ พระสุธรรมยานเถร (ครูบาอินทจักรรักษา)
ท่าน
ครูบาเผยแผ่พระพุทธศาสนายึดหลักปฏิบัติแบบสติปัฏฐาน ๔
ซึ่งการปฏิบัติแบบนี้ก่อให้เกิดข้อเคลือบแคลงสงสัยในหมู่พุทธบริษัทบางกลุ่ม
ในล้านนาในยุคนั้น
เพราะในยุคของท่านครูบาคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักดังกล่าวจนนำไปสู่การโต้แย้ง
และกลายเป็นความขัดแย้งในเวลาต่อมา โดยเริ่มแรกเป็นความขัดแย้งระหว่าง
พระสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วยกับหลักปฏิบัติและวิธีการสอนแบบใหม่นี้
ต่างฝ่ายได้เขียนหนังสือขึ้นอธิบายหลักธรรมเพื่อสนับสนุนวิธีการของตนจนทำ
ให้เกิดข้อเคลือบแคลงในการปฏิบัติตามหลักธรรมของทั้งสองฝ่าย
จนนำไปสู่ความขัดแย้งของพุทธบริษัทที่เชื่อตามหลักคำสอนของแต่ละฝ่ายมีการ
ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนในที่สุดคณะสงฆ์เชียงใหม่และลำพูน
ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสอบสวนและวินิจฉัยกรณีที่ขัดแย้งกัน
คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน
จึงได้ออกแถลงการณ์เป็นหนังสือเรื่ององค์ศาสนา ๒ ห้อง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๔
ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่าครูบาอินทจักรรักษา
เป็นภิกษุที่มีหลักการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง
ความขัดแย้งที่เกิดจากความเห็นในคำสอนและหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาที่แตก
ต่างกัน ประเด็นนี้มีประเด็นขัดแย้งกันพอจำแนกได้ ดังนี้
๑ เรื่องการรับศีล ๕ ศีล ๘ ของคฤหัสถ์
๒ เรื่องการรับไตรสรณคมน์ และ อาม ภรเต
๓ เรื่องการอาราธนาศีลและสวดมนต์หมู่ด้วยภาษาบาลี
๔ เรื่องกรรมฐาน การกรวดน้ำหมู่
ในหัวข้อที่ยกมานี้เป็นเรื่องหลักเรื่องหนึ่งที่ท่านครูบาอินทจักรรักษาได้
แนะนำประชาชนให้ปฏิบัติถูกต้องตามธรรมวินัย
โดยท่านครูบายึดถือเอาหลักการทางพระพุทธศาสนาที่ว่า “เพื่อประโยชน์แก่ชน
เป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก
เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุข” ท่านครูจึงได้สั่งสอนและเขียนหนังสือขึ้นชี้แจง
การปฏิบัติตามแบบประเพณีเก่า ๆ บางอย่างที่สืบทอดกันมาว่า
ผิดไปจากหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา