เอาเรื่องเล่า เสือสมิง มาให้อ่านกัน ไปเจอมา จากเวป Hunsa.com โดย Peebee
เสือเย็นแห่งวัดหมื่นสาร จังหวัดเชียงใหม่
นานมาแล้ว ในสมัยที่ผู้ชายนิยมการหาความรู้ด้วยวิธีเรียนคาถาอาคมต่าง ๆ เช่น เรียนคาถาปราบผี เรียนคาถาเมตตามหานิยม เรียนคาถาอยู่ยงคงกระพัน เรียนคาถาล่องหนหายตัว เรียนคาถาแปลงกาย เป็นต้น ซึ่งการเรียนรู้นี้ แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหนก็เรียนแบบนั้น หรือเรียนหลาย ๆ แบบก็ได้ การเรียนคาถาอาคมนี้ต้องควบคุมสติตนเองให้ได้ มิฉะนั้นจะเป็นผลร้ายกับตัวเอง ดังพระภิกษุชรารูปหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่เรียนคาถาแปลงกายเป็นเสือเย็น (เสือสมิง) แล้วควบคุมตนเองไม่ได้ ออกมาไล่กัดวัวควายของชาวบ้าน จึงถูกปราบด้วยคาถาอาคม ในที่สุดก็มรณภาพ
นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ทางด้านทิศใต้ตรงป่าช้าประตูหายยามีวัดโบราณอยู่วัดหนึ่ง ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลยสักรูปเดียว จึงกลายเป็นวัดร้าง โบสถ์ วิหาร เจดีย์ กุฏิพระชำรุดทรุดโทรมเป็นซากปรักหักพังมีเถาวัลย์และไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมหนาแน่น ทำให้บรรยากาศแลดูเงียบเหงาวังเวงยิ่งนัก ต่อมา มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งมาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ และออกบิณฑบาตในเวลาเช้าทุกวัน ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าพระภิกษุชรารูปนี้เป็นใครมาจากไหน แต่ก็ยังใส่บาตรเป็นประจำเพราะมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
วัดร้างแห่งนี้มักเป็นที่พักแรมของพ่อค้าเมืองเชียงใหม่ที่นำสินค้า เช่น ข้าวสาร เมี่ยง ใบพลู น้ำตาล เกลือ ไปขายในชนบทห่างไกลเป็นประจำเพราะอยู่นอกเมือง สะดวกที่จะให้วัวต่าง (ต่าง คือ ภาชนะสำหรับบรรทุกของ มีคานพาดไว้บนหลังสัตว์ให้ห้อยลงมาทั้ง 2 ข้าง) หยุดพัก
วันหนึ่ง มีพ่อค้ามาหยุดพักที่วัดร้างนี้เหมือนเช่นเคย ในเวลาเย็น พ่อค้าให้ลูกจ้างปลดต่างบรรทุกสินค้าออกแล้วนำวัวมาผูกรวมกันไว้ที่หลัก กลางดึกคืนนั้นพ่อค้าได้ยินเสียงวัวตื่นตกใจเหมือนกำลังพบกับสัตว์ร้ายแล้วพากันเตลิดออกจากหลัก พ่อค้าและลูกจ้างช่วยกันจุดไต้ออกติดตามวัวทั้งคืน จนเวลาใกล้รุ่งก็พบวัวตายไป 2 ตัว
“ เอ๊ะ! นั่นวัวของเราที่หายไปนี่ มานอนตายอยู่ตรงนี้เอง มีรอยเล็บและรอยขบกัดไปทั้งตัวเลย แล้วยังมีรอยเท้าสัตว์ด้วย เอ... ดูเหมือนจะเป็นรอยเท้าเสือนะ คุณพระช่วย! รอยเท้าเสือจริง ๆ ด้วย ดูจากรอยเท้าต้องเป็นเสือตัวใหญ่มากทีเดียว พวกเราอยู่วัดนี้ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวเสือจะกัดเอา... พวกเจ้าจงรีบไปเก็บของ เสร็จแล้วออกเดินทางทันที และบอกต่อ ๆ กันไปด้วย จะได้ไม่ต้องมีใครมาหยุดพักแรมที่วัดนี้อีก” หัวหน้าพ่อค้าสั่งลูกจ้าง
ข่าวการปรากฏตัวของเสือแพร่สะพัดไปทั่ว ไม่มีพ่อค้าคนใดกล้าหยุดพักแรมที่วัดนี้เลย ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าไปไหนในยามค่ำคืน โดยเฉพาะในวันข้างขึ้นหรือแรม 15 ค่ำ เสือร้ายจะปรากฏกายไล่กัดกินวัวของชาวบ้านเป็นประจำ ชาวบ้านพยายามช่วยกันหาวิธีที่จะจัดการกับเสือร้าย ถึงขนาดรวบรวมข้าวสารให้มีน้ำหนักถึงหนึ่งหมื่น เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้ที่สามารถกำจัดเสือ แต่ก็ไม่มีผู้ใดรับอาสาและก็ไม่มีใครพบตัวมันด้วย
อยู่มาวันหนึ่งพ่อค้ากลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องแวะพักแรมที่วัดร้างแห่งนี้ เพราะวัวต่างหลายตัวได้รับบาดเจ็บเดินต่อไปไม่ไหว ขณะที่พวกพ่อค้ากำลังหาอาหารเย็นอยู่นั้น พระภิกษุชราได้เข้ามาพูดคุยเรื่องเสือเย็นที่กำลังออกอาละวาด ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในละแวกนั้น ซึ่งพวกพ่อค้าก็กลัวเสือเย็นเหมือนกัน แต่จำเป็นต้องพักเพราะสงสารวัวที่บาดเจ็บ
คืนนั้นเป็นคืนข้างแรม 15 ค่ำ ท้องฟ้ามืดสนิท หัวหน้าพ่อค้าสั่งให้ลูกน้องช่วยกันจุดฟืนให้สว่างไว้มาก ๆ เพื่อป้องกันอันตรายยามค่ำคืนและให้นำวัวมาผูกรวมกันไว้ที่หลัก แล้วสั่งให้ลูกจ้างอยู่เวรยาม คอยเติมฟืนตลอดทั้งคืน พร้อมกันนี้ก็ให้สั่นพางราง (พาง คือ แผ่นโลหะสำหรับตีบอกเสียง) เป็นจังหวะเพื่อให้วัวอบอุ่นใจไม่ตื่นตระหนกง่าย ๆ
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่หัวหน้าพ่อค้ากำลังเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยของฝูงวัว และกำชับลูกจ้างให้คอยเติมฟืนอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของพระภิกษุชราถามเรื่องการนอนของพวกตน จึงนึกสังหรณ์ใจว่าพระภิกษุรูปนี้อาจเป็นเสือเย็น หัวหน้าพ่อค้ารีบตอบกลับไป จากนั้นเขาก็นำตอกมาสานเป็นควายธนูตัวเล็ก ๆ 4 ตัว แต่สานยังไม่เสร็จเสียงของพระภิกษุชราก็ถามขึ้นอีกว่า
“ยังไม่นอนอีกหรือ ดึกแล้วนะ”
“ยังไม่นอนขอรับ อีกประเดี๋ยวผมถึงจะนอนขอรับ” หัวหน้าพ่อค้าตอบ
เมื่อเขาสานเสร็จแล้ว หัวหน้าพ่อค้าก็นำควายไม้ไผ่ทั้ง 4 ตัวมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับเครื่องบูชาแม่พระธรณี อันประกอบด้วย หมาก พลูนั่งบริกรรมคาถาหัวใจควายธนูแล้วเป่าลงไปที่ควายไม้ไผ่นั้น 3 ครั้ง เสร็จแล้วนำควายไปวางรอบประจำทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ทิศละ 1 ตัว เวลานั้นเป็นเวลาดึกสงัด กองไฟที่ก่อไว้เริ่มมอดลงจนเหลือแต่เถ้าถ่านแดง ๆ ทำให้บริเวณที่พักของพ่อค้ามืดมองเห็นแต่เพียงราง ๆ ผู้คนในกองคาราวานหลับหมด ยกเว้นหัวหน้าพ่อค้าที่ยังนั่งบริกรรมคาถาอยู่เพียงคนเดียว เวลาไม่นาน เขาก็มองเห็นร่างร่างหนึ่งค่อย ๆ ก้าวช้า ๆ เข้ามาใน บริเวณที่พัก หัวหน้าเขม้นตามอง จึงเห็นว่าร่างนั้นคือ เสือโคร่งขนาดใหญ่กำลังย่างเท้าช้า ๆ เข้าหาฝูงวัวต่างที่กำลังตื่นตระหนก เขาบริกรรมคาถาหัวใจควายธนูเป็นครั้งสุดท้าย แล้วลุกขึ้นตบมือร้องว่า
“เอา...ลูก เอา ๆ ๆ”
ทันใดนั้น ควายไม้ไผ่ทั้ง 4 ตัวก็กลายเป็นควายธนูตัวใหญ่ เขาโง้งยาววิ่งกระโจนเข้าหาเสือโคร่งทันที เสือไล่ตะปบกัดควายธนู ควายก็ไล่ขวิดเสือ ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ ในที่สุด เสือโคร่งสู้ควายทั้ง 4 ตัวไม่ได้ก็วิ่งหนีหายไปในความมืด ฝูงวัวต่างปลอดภัยทุกตัว เช้ามืดหัวหน้าพ่อค้าพาลูกจ้างเดินสำรวจรอบ ๆ ที่พัก ก็พบร่องรอยการต่อสู้ของเสือและควายธนู
“ดูซิ พวกเรา นี่รอยเท้าเสือกับควายต่อสู้กัน เอ๊ะ ! มีรอยเลือดหยดเป็นทางไปทางนั้นด้วย สงสัยว่าเสือคงจะได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยเสียดาย... ไม่มีเวลาตามไปดู เพราะเราต้องรีบไปเสียด้วย เอ้า ! พวกเราไปช่วยกันเก็บของเถอะ เรียบร้อยแล้วออกเดินทางทันที” หัวหน้าพ่อค้าพูดกับลูกน้อง
วันนั้น พระภิกษุชราไม่ออกบิณฑบาตเหมือนทุกวัน ชาวบ้านรออยู่จนสายก็ไม่เห็นจึงพากันไปดูที่กุฏิ พบรอยเลือดหยดเป็นทางเข้าไป จึงรีบเข้าไปดูก็เห็นภาพพระภิกษุชรานอนสิ้นใจ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลเหมือนถูกควายขวิด ชาวบ้านจึงพากันลงความเห็นว่า พระภิกษุชราคือเสือเย็นนั้นเอง คงเป็นเพราะท่านเรียนวิชาเสือสมิงหรือเสือเย็น แล้วควบคุมตนเองไม่ได้ต้องกลายร่างเป็นเสือออกอาละวาดทุกวันขึ้น 15 ค่ำ หรือแรม 15 ค่ำ อยู่เป็นประจำ จนต้องมรณภาพในสภาพเช่นนี้
ต่อมา ชาวบ้านช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างขึ้นใหม่ พร้อมกับนิมนต์พระมาจำพรรษาแล้วตั้งชื่อวัดนี้ว่า “วัดหมื่นสาร”
อันหมายถึงข้าวสารน้ำหนักหนึ่งหมื่น ที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นรางวัลใจการปราบเสือเย็น ปัจจุบันวัดนี้อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่
|